Home Shop Mag'z Member Basket Thai / English Site Map
Webboard Book Toy Music Movie
Music
  >  home >  music >  Interview > 
    Pearl Jam : Eddie Unabridgedแหล่งที่มา :
เรียบเรียงโดยสิทธิเดช
หนังสือ Sound Magazine / 2003
Pearl Jam : Eddie Unabridged

เอดดี เวดเดอร์นักร้องนำแห่งสุดยอดกรันจ์ร็อค Pearl Jam จะมาพูดคุยแบบเปิดอกถึงทุกๆเรื่องตั้งแต่ Eminem, เคิร์ต โคเบน ไปจนถึง จอร์จ บุช จูเนียร์

การพูดคุยกันครั้งล่าสุดระหว่างเรากับ เอดดี เวดเดอร์ นักร้องนำวง Pearl Jam ต้องย้อนหลังกลับไปถึงฤดูใบไม้ร่วงปี1993 เลยทีเดียว ในตอนนั้นบิล คลินตันยังคงพำนักอยู่ที่ทำเนียบขาว ส่วนจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยังวุ่นวายอยู่กับเบสบอลอยู่เลย บุชในตอนนั้นยังคงเป็นหนึ่งในเจ้าของร่วมของทีมเบสบอลชื่อ Texas Rangers และเพิ่งจะเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสได้แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง ห่างออกไปจากโลกของทั้งสองคนยังมีอีกโลกหนึ่งที่เรียกกันว่าร็อคแอนด์โรล และตอนนั้นซีแอตเติลคือเมืองหลวงของโลกแห่งนี้ และเวดเดอร์ก็เป็นราชาอย่างไม่เป็นทางการ (และไม่ได้เป็นกันง่ายๆด้วย) ของโลกแห่งนี้ โดยการที่เขาคือหน้าตาและกระบอกเสียงของวงที่เพิ่งขายอัลบัมที่สองของวงไปแค่หนึ่งล้านชุดในสัปดาห์แรกที่มันออกวางจำหน่าย ใช่แล้วอัลบัมนั้นมีชื่อว่า Vs., และคุณคงรู้แล้วนะว่าวงของเขาชื่ออะไร

สิบปีผ่านไปและคลินตันก็ย้ายออกไปจากทำเนียบขาวเรียบร้อยแล้ว แต่ Pearl Jam ยังคงเป็นหนึ่งในวงร็อคที่โด่งดังที่สุดในโลกพวกเขาขายอัลบัมไปแล้วกว่า 26 ล้านชุดตลอดหนึ่ง

ทศวรรษที่ผ่านมา และ เวดเดอร์ พร้อมทั้ง มือกีตาร์ สโตน กอสสาร์ด และ ไมค์ แม็กครีดี, มือเบส เจฟฟ์ เอเมนต์ และมือกลอง แมตต์ คาเมรอน ยังคงเป็นกลุ่มนักดนตรีที่แสดงสดได้อย่างมีพลังเช่นเดิม และยังคงตระเวณทัวร์ที่ยาวถึงคืนละสองชั่วโมงครึ่งเป็นเวลาสามเดือนใน U.S. tour ครั้งล่าสุด แล้วบุชล่ะ ตอนนี้เขากลายมาเป็นประธานาธิบดีแล้ว และอเมริกาก็ก้าวเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัวหลังจากเหตุวินาศกรรมครั้งนั้น และวันนี้เวดเดอร์ในฐานะประชาชนคนหนึ่งกำลังจะมาบอกเล่าความรู้สึกของเขาอย่างเปิดอกที่มีต่อสงครามอิรัก และนโยบายของบุชผู้ลูก

ระหว่างหยุดพักการทั วร์ที่นิวออร์ลีนส์ เรามีโอกาสได้พูดคุยกับเวดเดอร์ เกี่ยวกับหลากหลายเรื่องตั้งแต่การที่เขาใส่หน้ากากรูปจอร์จ บุชขึ้นไปร้องเพลง Bu$hleaguer จาก Riot Act อัลบัมล่าสุดของทางวง ในคอนเสิร์ตครั้งแรกที่เดนเวอร์ ไปจนถึงความรู้สึกที่มีต่อโจ สตรัมเมอร์, ราล์ฟ นาเดอร์, Eminem, เมืองซีแอตเติล, การก้าวเข้าสู่วัยกลางคน และอนาคตของ Pearl Jam

และต่อไปนี้นี่คือทุกสิ่งที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับเขา เอดดี เวดเดอร์

คุณแต่งเพลง Bu$hleaguer ได้อย่างไร และแต่งตั้งแต่เมื่อไหร่

เพลงนี้พวกเราแต่งตอนที่พวกเรา ไปอัฟกานิสถานกัน ผมใช้วิธีการแบบเก่าๆที่ใช้เรื่อยมาน่ะ และพอผมไปที่สตูดิโอเพื่อเริ่มบันทึกเสียงอัลบัมใหม่ ก็มีซองจดหมายส่งมาถึงผมโดย FedEx ข้างในนั้นเต็มไปด้วยกระดาษหลายแผ่น ผมจำแทบไม่ได้ว่ามันมาจากไหน และพอเราเริ่มเล่นดนตรีกัน ผมหยิบบางแผ่นในนั้นออกมา สโตนเขามีเพลงอยู่แล้วและคอรัสแบบว่า “Blackout weaves its way through the cities” และมันเหมือนกับมีพลังประหลาดอย่างหนึ่งพุ่งออกมาและผมก็เริ่มร้องเนื้อเพลงจากกระดาษพวกนั้น ทั้งเนื้อหากับดนตรีและก็กีตาร์ไปกันได้ดีมาก และผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงได้นะมันก็แค่นั้นเอง เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยมอะไรหรอก (หัวเราะ)

แต่ตอนนี้มันกลายเป็นที่สนใจไปทั่วแล้วนะ

ตอนช่วงท้ายๆของการบันทึกเสียงผมเริ่มไม่ค่อยใส่ใจเพลงนี้มากนัก และทิ้งมันไว้แบบนั้นแหละ แต่คนอื่นกลับมาฟังมันอย่างตั้งใจประมาณสองอาทิตย์เห็นจะได้ ผมว่าพวกเขาเริ่มคุ้นเคยกับมันนะ และพวกเขาก็บอกว่า “เราลองเอามันมาทำให้ดีๆหน่อยดีกว่าว่ะ? เปลี่ยนเนื้อร้องตรงนี้หน่อยได้ไหม?” และสุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ

Bu$hleaguer เยี่ยมในแบบที่มันควรจะเป็นนะ คุณตั้งใจจะกัดเขา(บุช)แต่แรกเลยเหรอ

ผมรู้สีกดีมากเลยนะที่ได้ทำแบบนั้น สาระทั้งหลายในเพลงนี้ผมเขียนด้วยอารมณ์ขันนะ และมันเริ่มจะเป็นที่สนใจก็ตั้งแต่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอนที่ Riot Act ออกวางตลาด เราเอามันไปเล่นที่ญี่ปุ่นและออสเตรเลียด้วย มันเหมือนเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจเลยนะ ดนตรีร็อคนี่ก็เหมือนงานศิลปะนั่นแหละ ไม่ว่าคนทั่วไปจะเห็นด้วยกับมันหรือเปล่า แต่คุณก็จะได้อะไรบางอย่างจากมัน คนที่ฟลอริดา หรือโอไฮโอ หรือแคลิฟอร์เนียหรือแม้แต่ในอิตาลีอาจจะรู้สึกกับมันต่างกัน แต่คุณก็ยังคงได้อะไรบางอย่างจากมันอยู่ดี

ในโชว์ที่เดนเวอร์ ตอนที่คุณกำลังพูดถึงเรื่องอิรัก และมีคนดูตะโกนบอกคุณให้ “หุบปาก!” มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ

ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังผม (ทำท่าเหลียวหลังกลับไปมอง)

คุณตกใจไหมที่อยู่ๆก็มีคนมาตะโกนให้คุณหุบปากเสียในโชว์ของคุณเอง

ไม่หรอกนะ จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ บางครั้งเวลาคุณเริ่มพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนอย่างโป๊ปแบบนี้ มันก็เป็นธรรมดาที่มีบางคนอยากให้เราหยุดพูด

แต่คุณก็ตอบโต้กลับไปทันควันเหมือนกันนะ (เวดเดอร์ตะโกนใส่คนดูที่บอกให้เขาหุบปากว่า “ใครพูดคำว่า ‘หุบปาก’ คุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูดไหมเพื่อน อย่าลืมสิทธิข้อนี้สิเพื่อน... พวกเราจะยังใช้สิทธิ์นี้ต่อไปและผมจะไม่ยอมขอโทษต่อสิ่งที่ผมได้พูดไปแน่ๆ”)

จริงๆแล้วมันก็กลับไปสู่เรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนะ และมันก็เป็นวิถีของร็อคแอนด์โรลด้วย และผมก็หวังว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของการทำแบบนี้นะ แต่บางครั้งอาจจะต้องยั้งๆไว้บ้างนะ เพราะผมไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน จากบางเรื่องที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นน่ะความจริงก็คือพวกเรารวมวงกันมา 12 ปีแล้ว และเราก็เชื่อว่าเรายังเล่นดนตรีได้ดีเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด เราผ่านเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว อย่างเช่นช่วงที่เรามีปัญหากับทาง Ticketmaster (ช่วงกลางยุค90s) ซึ่งทำให้เราต้องเล่นโชว์ให้พวกเขาท่ามกลางหยดเหงื่อและหยาดเลือด แต่พอหลังจากโชว์พวกเราก็ต่อต้าน Ticketmaster สุดๆเหมือนกัน นั่นมันเป็นเพราะเรื่องการขึ้นค่าตั๋วอย่างหน้าเลือดของพวกเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับดนตรีแม้แต่น้อย และแม้แต่ในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนอย่างนี้ พวกเราก็ยังคงเป็นวงที่คำนึงถึงเรื่องดนตรีอยู่เสมอ เราไม่ใช่พวกนักการเมืองที่ออกเดินสายปราศรัยไปทั่วนะ

คุณแปลกใจบ้างไหมที่มีพวกหัวอนุรักษ์นิยม อยู่ท่ามกลางคนดูของพวกคุณ, ถ้าดูตามประวัติศาสตร์ดนตรีแล้ว ไม่เคยมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับพรรครีพลับริกันเลยนะ มันมีแต่แบบเซ็กซ์, ยาเสพติด และก็การต่อต้านอะไรเทือกนั้นน่ะ

เรื่องแบบนี้ไม่แปลกอะไรต่อผมเลยนะ หลังจากที่ผมได้รู้ว่าจอห์นนี ราโมนน่ะเป็นพวกรีพลับริกันแบบเข้าไส้เลยนะ (หัวเราะ) พระเจ้า แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ

บางที “พวกอนุรักษ์นิยม” อาจจะเป็นของแสลงกับสิ่งที่เรียกว่าพังก์ร็อคนะ “พวกรักสนุก” น่าจะเหมาะกว่าไหม

ถูกต้องเลย นั่นแหละคือเหตุผลที่มีคำว่า “ความบันเทิง” และทำให้พวกเราถึงได้มารวมกันไงล่ะ ไมก์ วัตต์ (มือเบส, อดีตวง Minutemen) มักจะมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้แปลกออกไปนะ ในพาสปอร์ตของเขานะในช่องคำว่าอาชีพ เขาไม่ได้กรอกคำว่านักดนตรีลงไปนะ เขาใส่คำว่า ผู้สร้างความบันเทิงลงไปแทนน่ะ เพราะเขามั่นใจในสิ่งที่เขาทำมากเลย

แล้วคุณรู้สึกยังไงกับคำว่าผู้สร้างความบันเทิงล่ะ

“ผู้สร้างความบันเทิง” แล้วก็กลายเป็น “คนดัง” ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดังเลยนะ ผมไม่เคยขึ้นหน้าปกนิตยสาร People เลยนะ และโจน ริเวอร์ส ก็ไม่เคยมาถามผมด้วยว่าผมชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหน พวกเรารับมือกับสถานะภาพของการเป็นคนดังได้ดีนะ พวกเราทำอะไรด้วยความรู้สึกเสมอ บางทีเราอาจจะเป็นคนดังในโลกหนึ่งเพราะว่าพวกเราไปโผล่หน้าทางโทรทัศน์ แต่พวกเราก็บอกตัวเองเสมอว่า “แบบนี้เหรอวะคนดัง” สำหรับเรามันก็แค่งานเลี้ยงงานหนึ่งเท่านั้นเอง

แล้วรู้สึกอย่างไรกับเงินที่ได้มาล่ะ

มีคนชอบพูดว่าเงินคือบ่อเกิดของความชั่วร้ายนะ แต่ผมไม่เชื่อแบบนั้นหรอกนะ คุณสามารถใช้เงินทำเรื่องดีๆได้มากมายเลยและมันยังทำให้คุณมีอำนาจที่จะปฏิเสธใครก็ได้ที่คุณไม่ชอบหน้านะ ผมว่าเงินมันช่วยให้เราเป็นตัวของตัวเองได้ดีนะ ที่สำคัญคือต้องรู้จักหัดเผื่อแผ่บ้างนะ

แล้วคุณเอาเงินก้อนแรกที่ได้จากอาชีพนี้ไปทำอะไรล่ะ

ผมเอาไปซื้อบ้านให้แม่น่ะ (หยุดคิดก่อนที่จะหัวเราะ) ผมรู้สึกดีมากเลยนะที่ได้ทำอย่างนั้น หลังจากนั้นผมก็ซื้อกระดานโต้คลื่นอันใหม่ ผมใช้เงินที่เหลือจนหมดเลยว่ะ เพราะมันได้มาง่ายน่ะ แต่ผมยังขับรถกระบะคันเก่าของผมที่ผมใช้มาตั้งแต่สมัยยังทำงานที่ปั๊มน้ำมันอยู่เหมือนเดิมนะ มันคือโตโยตาปี1989 น่ะที่สำคัญคือมันใช้ได้ดีไง จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องเงินที่เราหาได้หรอก มันยังมีเงินในแบบที่เราไม่อยากได้ก็มีนะ อย่างเช่นการที่เราพยายามลดค่าตั๋วคอนเสิร์ตลงให้เหมาะสมแต่ยังเล่นอย่างเต็มที่เหมือนเคยน่ะ

ช่วงกลางทศวรรษ90s พวกคุณไม่ได้ออกทัวร์อเมริกากัน เนื่องจากต้องการประท้วง Ticketmaster ที่ขึ้นราคาค่าตั๋วโหดเกินไปใช่ไหม

มันเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างน่าอึดอัดนะ และมันก็แทบไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับดนตรีเลย ในที่สุดเราก็เลยต้องยอมประนีประนอม

คุณรู้สึกเหมือนกับว่าคุณแพ้ไหม

ไม่ถึงกับแพ้หรอก มันเป็นเหมือนประสบการณ์หนึ่งในชีวิตนะ ถ้าใครอยากจะต่อยคุณให้คว่ำเขาก็ต้องหาทางทำมันจนได้แหละ มันมีเรื่องไม่เป็นเรื่องมากมายที่มีผลต่อราคาของตั๋วคอนเสิร์ต อย่างเช่นส่วนแบ่งจากการขายเสื้อยืดในคอนเสิร์ตเป็นต้น แทบจะเรียกได้ว่าทุกอย่างที่พวกเขาอยากจะชาร์จคุณนี่จะอยู่ในนั้นหมด มันอาจจะดูไม่เท่าไหร่สำหรับคุณ แต่เราไม่ต้องการให้มันมีอยู่เลย สุดท้ายศาลเรียกพวกเราไปพบแล้วพูดแบบ “พวกคุณมีอะไรข้องใจกับพวกเขาหรือ เท่าที่เราตรวจสอบดูแล้วพวกเขาก็เป็นองค์กรที่มั่นคงนะ” จริงๆแล้วพวกเราก็พยายามที่จะประนีประนอมแล้วนะ (หัวเราะ) แต่พวกเขาไม่เคยสนใจเราเลย สุดท้ายเรื่องนี้จบลงด้วยการที่พวกเราต้องใช้เงินไปร่วม 80,000-100,000 เหรียญ ในการตรวจสอบและสืบพยานเพื่อปกป้องตัวเราเอง ทีนี้เลิกสงสัยแล้วยังว่าพวกเราเอาเงินที่ได้มาไปทำอะไรบ้าง

สุดท้ายแล้วข้อพิพาทระหว่างพวกคุณกับ Ticketmaster ก็ทำให้คุณเสียแฟนเพลงไปมากพอดูจากการไม่ได้ออกทัวร์กันเป็นปีแบบนั้น

มันก็จริงอยู่นะ แต่นั่นมันเกิดขึ้นหลังจากการตายของเคิร์ต โคเบนนะ (เงียบไปพักใหญ่) 9 ปีผ่านไป พวกเรายังคงอยู่ พวกเรายังอยากที่จะเล่นดนตรีและบันทึกเสียงกันต่อไป นั่นคือเหตุผลที่พวกเรากลับมา ตอนนี้ทุกอย่างมันดูเหมือนกลับไปเป็นแบบเดิมๆแล้วนะ ออกทัวร์กันตลอดมีเวลาพักแค่อาทิตย์สองอาทิตย์แล้วก็เข้าห้องอัดอีก พวกเราแทบไม่รู้เลยว่ายังมีอะไรสำคัญกว่าเวลาอีกไหม พวกเราทำงานกันหนักมากในฐานะของวงดนตรีวงหนึ่ง และเราก็สร้างแฟนเพลงไว้กลุ่มใหญ่มากเช่นกัน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลับไปรุ่งโรจน์ได้เหมือนเก่า แต่มันก็ยังดีกว่าต้องสูญเสียทุกอย่างไป มันฟังดูน่าสนุกนะแต่จริงแล้วมีเรื่องให้ปวดหัวมากเลยล่ะ

คุณรู้สึกไหมว่าการที่คุณสนับสนุนราล์ฟ นาเดอร์ในการลงคะแนนอีเลกชันโหวตปี2000 จะเป็นเหมือนการช่วยให้จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้เป็นประธานาธิบดีอยู่กลายๆ

มันทำให้พวกเรารู้สึกดีขึ้นนะ เวลาคิดว่าอัล กอร์เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งคนเดียวที่คะแนนรวมสูงกว่าแต่แพ้การเลือกตั้งน่ะ เกิดอะไรขึ้นหลังจากแปดปีที่พวกเขาออกมาป่าวประกาศว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้กำลังขยายตัวดีขึ้น แต่เขากลับแพ้ในรัฐบ้านเกิดของตัวเอง เขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะคนที่โดนคนทั้งรัฐประณามว่าทำลายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของบ้านเกิดพังป่นปี้ หันไปดูราล์ฟสิ เขาเป็นพวกนักเคลื่อนไหวนะและจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อมั่นเสมอมา เขาน่าจะเป็นฮีโรของชนชั้นล่างคนสุดท้ายที่ประเทศนี้ยังพอมีอยู่นะ เวลาปกติไม่มีใครสนใจคนแบบนี้หรอก แต่พอถึงคราวคับขันเรากลับเรียกร้องให้มีคนแบบนี้เสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าผมควรจะเลือกคนแบบนี้ โดยผมไม่สนใจหรอกว่าเขาจะทำงานให้ใคร

แล้วคุณไปล็อบบีเพื่อนๆคนอื่นใน Pearl Jam ให้เลือกเขาด้วยหรือเปล่า

ตอนแรกผมทำอย่างนั้นจริงๆนะ และคนอื่นก็เห็นด้วยกับผมเหมือนกัน มันเหมือนกับนี่เป็นหน้าที่ของผมเลยและมันก็น่าสนใจดีด้วย และคนก็เริ่มเห็นพ้องกับผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ราล์ฟกลับบอกผมว่า “ที่เราต้องหาเงิน (สนับสนุน) เพราะเรามีเงินไม่มากพอ แต่เราจะไม่ขอรับเงินจากกลุ่มหรือองค์กรใดๆ ถ้ามันจำเป็นต้องมีการตอบแทนในภายหลัง แบบนี้จะดีกว่านะ” ผมก็ตอบกลับไปว่า “เยี่ยมมาก ผมจะทำอย่างที่คุณบอก และผมจะบอกเพื่อนๆในวงให้ทำแบบนี้ด้วย” ผมเลยเขียนเช็ก (ในนามวง) จ่ายออกไป จริงๆแล้วผมเขียนมันก่อนจะถามเพื่อนๆด้วยซ้ำนะ หลังจากนั้นผมจึงโทรไปบอกคนอื่นในวงว่า “เฮ้ย! กูมีเรื่องเจ๋งๆมาเล่าให้ฟังว่ะ กูเลยอยากให้พวกมึงช่วยหน่อย” อย่างเช่น “ขอบคุณมากที่ช่วยให้เงินนะ” พวกเขาถึงกับอึ้งเลยว่ะ (หัวเราะ)

แล้วคุณพาทางวงไปเล่นสนับสนุนการอภิปรายของนาเดอร์ด้วยหรือเปล่า

ไม่นะ มันไม่ค่อยเหมาะน่ะ มันน่าจะดีกว่าถ้าเล่นโชว์ด้วยกีตาร์และฮาร์โมนิกา คนอื่นในวงมันว่าผมบ้าไปแล้วที่มุ่งมั่นทำอย่างนี้ชนิดหัวชนฝา แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าคุณเชื่อมั่นในอะไรแล้วคุณก็จะมุ่งมั่นอยู่กับมันนะ และทุกวันนี้ผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าผมคิดถูกนะ ตอนนั้นใครๆก็บอกผมว่า “คุณจะบ้าเหรอ นาเดอร์ไม่มีทางชนะหรอก” เฮ้ย เพื่อน! ผมโตในชิคาโกนะ และผมก็เป็นแฟนตัวยงของ a Cubs ด้วยนะ เรื่องแบบนี้ผมคุ้นเคยดี (Chicago Cubs เป็นทีมเบสบอลในชิคาโกที่มักจะถูกหยามว่าเป็นทีมรองบ่อนเสมอ)

แล้วรู้สึกอย่างไรกับโจ สตรัมเมอร์บ้างล่ะ ได้ยินมาว่าเขามีชื่อว่าจะเล่นเป็นวงเปิดให้คุณในทัวร์ครั้งนี้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในเดือนธันวาคมที่แล้วนะ

จริงๆแล้วนี่ทุกอย่างมันเรียบร้อยหมดแล้วนะในตอนนั้น เขาจะร่วมในทัวร์ช่วงท้ายๆ แต่ตอนนี้เลยต้องเปลี่ยนเป็น The Buzzcocks แทน ตอนที่เราเชิญเขา (สตรัมเมอร์) ครั้งแรก ผมคิดว่าเขาต้องปฏิเสธเราแน่ๆ เขาโทรไปหาพีต (ทาวน์เชนด์) แล้วถามว่า “นายรู้จักไอ้วงนี้หรือเปล่าวะ?” สตัมเมอร์ไม่เคยรู้จักพวกเราเสียด้วยซ้ำ ต่อมาในวันเกิดของผม (23 ธันวาคม) ผมก็ได้ยินข่าวว่าเขาเสียชีวิตแล้ว มีคนโทรศัพท์มาหาผมแต่เช้า “เสียใจด้วยนะ” ผมคิดในใจว่าเรื่องอะไรวะ? “โจ สตรัมเมอร์ตายแล้ว”

คุณได้ไปดูคอนเสิร์ตรียูเนียนของ the Clash หรือเปล่า

ผมได้ดูพวกเขาที่โกลเดนฮอลล์ในซานดิเอโกนะ พวกเขาเป็นวงที่เจ๋งที่สุดหลังจาก the Who เลยนะ ผมเริ่มรู้จัก the Who ตอนผมเริ่มจะโตแล้ว น่าจะอายุประมาณ 10 หรือ 11 นะตอนนั้น พี่เลี้ยงของผมเปิด Who’s Next ให้ผมฟัง และหลังจากนั้นผมก็คลั่งไคล้พวกเขาเป็นบ้าเป็นหลัง ผมใช้เวลาสี่ปีในวัยรุ่นของหมดไปกับการตามฟังงานเก่าๆของพวกเขา แต่กับ The Clash นี่พวกเขาโครตจะเฮฟวีเลยล่ะ พวกเขาโผล่มาพร้อมกับเป้าหมายที่ชัดเจน ผมว่าพวกเขาเป็นวงที่น่าตะลึงมากเลยนะ ผมยังหวังอยากจะให้พวกเรา Pearl Jam เป็นวงที่น่าตะลึงแบบนั้นบ้างนะ เพราะวงที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต้องมีบางส่วนที่น่าตื่นตะลึงเสมอนะ ผมยังจำความรู้สึกตื่นตระหนกตอนดูโชว์ของ The Clash ได้ดี มันเหมือนกับกำลังมีการจราจลเกิดขึ้นน่ะ มันทำเอาพวกเด็กๆแทบฉี่ราดเลย และมันก็รวมผมด้วยคนหนึ่งล่ะ

แล้วคุณคิดว่า Eminem นี่น่าตื่นตะลึงพอไหมสำหรับคุณ

ผมชอบเนื้อเพลงของเขานะ เขาเลือกเรื่องราวมาเขียนได้ดีมากเลย เขามีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้คนอื่นๆฟัง โดยเฉพาะเพลงที่เกี่ยวกับจดหมายจากแฟนเพลงน่ะ (Stan) ผมว่ามันเจ๋งดีนะ ไม่ใช่เพราะว่ามันโดนวิจารณ์ในทางที่ไม่ดีหรอกนะ แต่ที่ผมชอบเพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งตอบจดหมายแฟนเพลงไป และพวกเขาก็เขียนกลับมาแบบ “ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะตอบผม มันเยี่ยมสุดๆเลย” หลังจากนั้นก็มีจดหมายมาหาผมอีกห้าฉบับ ผมแกะฉบับสุดท้ายมาอ่านมันจะแบบว่า “ไอ้เวรเอ๊ย แกก็เหมือนไอ้คนอื่นๆนั่นแหละ ฉันเคยคิดว่าแกจะเป็นคนดี แต่ให้ตายเถอะแกมันไอ้งี่เง่า” และนั่นก็ทำให้ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนถูกใจไปเสียทั้งหมด

Pearl Jam มีโอกาสได้ร่วมบันทึกเสียงและออกทัวร์กับนีล ยังบ่อยครั้ง พวกคุณได้เรียนรู้อะไรจากเขาบ้างไหม

สิ่งเดียวที่ผมเรียนรู้จากนีลคือการเขียนเพลงนะ เขาจะใส่ใจกับการทำงานเพลงในทุกขั้นตอนและจะเขียนเพลงก็ต่อเมื่อมีแรงบันดาลใจ ถ้าคุณมีไอเดียอะไรใหม่ๆ คุณจะหยุดทุกอย่างและพยายามทำมันให้เสร็จ ไม่ใช่แค่จดบันทึกมันไว้แล้วค่อยทำตอนมีเวลาว่าง ถ้าคุณทำมันตอนนั้นเลยมันจะเปี่ยมพลังและแข็งแกร่งสุดๆ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จอยู่เสมอ

มีเพลงไหนของ Pearl Jam บ้างหรือเปล่าที่คุณใช้วิธีเดียวกันนี้สร้างมันขึ้นมา

Thumbing My Way (จากอัลบัม Riot Act) เป็นเพลงที่เขียนเสร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีนี้เป็นการสร้างความสดใหม่ให้กับบทเพลงด้วย คุณไม่ได้คิดหนักกับมันอย่างกับนั่งทำการบ้าน มันก็แค่ “ว้าว! เจ๋งจริงๆ เสร็จเร็วดีจัง” มันเป็นความสนุกสนานที่ได้จากการสร้างสรรค์นะ

Pearl Jam กลายเป็นวงซีแอตเติลวงเดียวจากช่วงรุ่งโรจน์กลางยุค90s ที่ยังคงได้เซ็นสัญญากับสังกัดระดับเมเจอร์อยู่ นอกจากพวกคุณแล้วยังมีวงจากยุคนั้นเหลือรอดอยู่อีกไหม

เพื่อนๆในแนวทางเดียวกับเรา ตอนนี้ส่วนใหญ่จะเล่นดนตรีโฟล์กหรือไม่ก็เล่นดนตรีอยู่แถบๆซีแอตเติลนะ ถึงตอนนี้พวกเขาจะอยู่วงเดิมหรือเปล่าพวกเขาก็ยังคงเป็นเพื่อนของเราเหมือนเดิม อย่างเช่น เคิร์ต บล๊อก (the Fastbacks) สตีฟ เทอร์เนอร์ [Mudhoney) สกอต แม็กคอเฮย์ (the Young Fresh Fellows, Minus 5) และปีเตอร์ บัก (R.E.M.) ที่ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเราแล้ว พวกเราเติบโตที่ซีแอตเติล อะไรๆที่เกิดขึ้นที่ข้างนอกนั่นไม่มีผลใดๆกับพวกเราเลย

หลังจากออกอัลบัมมาหลายชุด และออกทัวร์มามากมาย คุณรู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจดนตรีนี้แล้วหรือยัง

จริงๆแล้วนี่ เราไม่ได้ขายอัลบัมได้จำนวนมหาศาลอีกแล้ว ดังนั้นเราไม่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้แล้วนะ และตอนนี้โดยทางทฤษฎีแล้วนี่ เราเป็นวงที่ไม่มีสังกัดแล้วนะดังนั้นเราจึงไม่ค่อยมีความกดดันในเรื่องนี้สักเท่าไหร่

Riot Act กลายเป็นอัลบัมสุดท้ายในสัญญาของคุณกับ Epic Records ใช่ไหม

ถูกต้อง ตอนนี้พวกเรารู้สึกเป็นอิสระดีมาก และเรากำลังมองไปข้างหน้ากับการทำงานในแบบใหม่ที่เราไม่เคยทำมานะ อย่างเช่นทำอย่างไรถึงจะออกงานใหม่ได้และเวลาที่ต้องใช้กับมันอะไรพวกนี้น่ะ บางทีเราอาจจะอัดเพลงสักสามเพลงแล้วแล้วก็เอามันออกมาขายในสุดสัปดาห์นี้เลยก็ได้นะ มันก็แปลกไปอีกแบบนะที่ได้ทำงานโดยไม่ต้องยึดติดกับวิธีทั่วๆไปของสังกัดแผ่นเสียง เรายังไม่มีแผนอะไรกันเลย เราแค่กำลังรู้สึกดีที่ได้เริ่มทำอย่างนี้นะและดูว่าจะทำอะไรกันต่อไป มันมีบางอย่างที่เราจะต้องทำแน่ๆแต่มันก็เป็นอนาคตและมันอาจจะไม่ได้เรื่องก็ได้ แต่นั่นคือสิ่งที่เราทำมันด้วยตัวเอง

คุณพอจะอธิบายถึงสถานะการณ์ภายในวง Pearl Jam ตอนนี้ได้ไหม? พวกคุณจะยังคงรวมวงกันต่อไปอย่างที่ผ่านมาหรืออย่างที่คุณอยากให้มันเป็นหรือเปล่า

บางทีเราก็รู้สึกว่าวันเวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ ถ้ามองกันในฐานะของนักดนตรี พวกเราก็ซื่อสัตย์ต่อแนวทางของพวกเรามาตลอดนะ แต่ตอนนี้ถึงแม้ว่าหลายๆสิ่งมันจะเปลี่ยนไป แต่คุณค่าของตัวงานก็จะยังคงอยู่เสมอ และพวกเราก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป จริงๆแล้วเครื่องจักรจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อมีการดูแลอย่างดี ตรวจเช็คน้ำมัน เปลี่ยนถ่ายน้ำกลั่น ทุกชิ้นส่วนเข้าใจบทบาทของมันและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และตอนนี้บทบาทของแต่ละคนก็ขยายออกไปมากขึ้น ทุกคนแต่งเพลงมาเสนอกัน ตอนนี้ Pearl Jam เป็นเหมือนที่ที่จะถ่ายทอดบทเพลงของแต่ละคนในวงไปแล้ว และพวกเราก็จะนำเพลงเหล่านั้นมาบันทึกเสียง ดังนั้นไม่เหตุผลใดๆที่จะต้องหยุดตัวเองลง ความจริงอีกข้อคือ ผมมองไมค์ แม็กกรีดีเล่นกีตาร์แล้ว ผมรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในมือกีตาร์ที่เยี่ยมที่สุดในตอนนี้นะ เขาทำงานหนักที่สุดในวง เขามักจะทุ่มเทให้กับการสร้างงานให้กับวง เขามักจะเสนอทางเลือกให้พวกเราเสมอและมันก็เจ๋งๆทั้งนั้นเลย เขาเป็นเหมือนอาวุธลับของทางวงเลยล่ะ ผมไม่รู้ว่าคนที่ไม่เคยดูเราจะรู้หรือเปล่าว่าเขาเจ๋งขนาดไหน

ผมว่าไมค์ และสโตนเล่นเข้าขากันได้ดีนะ พวกเขามีทั้งความกลมกลืนและแตกต่างผสานอยู่ในสำเนียงที่สื่อออกมา สโตนเป็นเหมือนหางเสือที่คอยขับเคลื่อนทางวงไปข้างหน้า และผสานกันได้เป็นอย่างดีกับเจฟฟ์และแมตต์ ผมว่าพวกคุณเป็นวงที่ยอดเยี่ยมมากนะพวกเราเป็นวงที่พยายามก้าวไปข้างหน้าเสมอนะ ตอนที่พวกเราจะเริ่มทัวร์ Riot Act กัน พวกเราไม่ใช่แค่ออกไปแล้วเล่นให้มันจบๆไป พวกเราจะแบบว่า “เฮ้ย พวกเราจะหาอะไรเจ๋งๆมาเล่นกับงานนี้ดีวะ” นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เราเรียนรู้จากนีล เราไปดูทัวร์ครั้งหลังสุดของเขา วงของเขามีดั๊ก ดันน์ (มือเบส) และจิม เคลต์เนอร์ (มือกลอง) เจฟฟ์กับผมคุยกับพวกเขา และเจฟฟ์ก็บอกว่า “พวกนายเอาเพลงพวกนั้นมาเล่นให้ต่างออกไปได้ไงว่ะ” พวกเขาตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่พวกเรา นีลต่างหากที่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เขาพยายามลองสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดแหละ” นีลมักจะเป็นแบบนี้ เขาชอบทดลองสิ่งใหม่ๆกับดนตรีของเขาเสมอ นั่นเป็นสิ่งที่พวก

เรายังไม่เคยทำ แต่เราจะทำมันในไม่ช้านี้แหละ

คุณเพิ่งครบรอบ 38 ปีไปเมื่อธันวาคมที่ผ่านมา อีกไม่นานก็จะ 40 แล้ว คุณกำลังก้าวไปสู่จุดที่เหล่าเพื่อนๆและฮีโรทั้งหลายของคุณอย่าง นีล, พีต ทาวน์เชนด์ และบรูซ สปริงสทีน ก็เคยผ่านมาแล้ว คุณเตรียมพร้อมที่จะรับการก้าวเข้าสู่วัยกลางคนหรือยัง

ผมมีความเชื่อว่าแฟนเพลงของ พวกเราก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกันกับเรา และบางเรื่องที่เราพูดออกไป พวกเขาก็อาจจะเคยผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้าพวกเราเสียด้วยซ้ำ แต่กับแฟนรุ่นใหม่ที่ยังอายุน้อยอยู่นี่ผมไม่แน่ใจนะ มันมีบางเพลงในอัลบัม Who by Numbers ร้องไว้ว่า “How many friends have you really got?” (จากเพลง How Many Friends) มันเขียนออกมาจากมุมมองของคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน และมันโดนใจผมมากตั้งแต่อายุแค่ 15 เท่านั้น และผมก็ไม่แน่ใจว่าพีตเขียน Quadrophenia ตอนอายุเท่าไหร่ แต่ผมมั่นใจว่าก่อนเขาอายุ 40 นะ แต่เขาถ่ายทอดมันออกมาได้ลึกซึ้งจริงๆ ซึ่งผมว่าไม่น่ามีใครทำได้ดีเท่านั้นอีกแล้วนะ บางทีวันข้างหน้าผมอาจจะนั่งเล่นซอหรือไม่ก็อะคูสติกกีตาร์พร้อมทั้งเติบโตพอที่จะยอมรับข้อจำกัดของตัวเองได้นะ และผมคิดว่าผมคงไม่กระโดดโลดเต้นไปทั่วเหมือนสมัยยังหนุ่มๆอีกแล้วนะ แต่สิ่งที่ผมคาดหวังก็คือก็คือการคงอยู่ของวงของเรานะ มันก็เหมือนชีวิตคนนั่นแหละ เมื่ออายุเข้าสู่วัย 40 ปีมันก็เหมือนเดินมาถึงครึ่งทางเท่านั้นเอง ใช่แล้วพวก! เรายังมีทางอีกตั้งครึ่งที่ต้องเดินต่อไปนะ

  • สินค้าที่เกี่ยวข้อง
    คลิกดูรายละเอียด

  •  

    Top
    E-Mail

    Password


    Community
    Activity
    Photo Contest
    Bey Blade
    Cartoon 9
    Chat Room
    D-3
    D-Terminal
    D-Power
    Digimon
    Download
    Market Place
    Micro pet
    Quiz
    Can not select dB