Len Wiseman
Len Wiseman เปิดฉากการทำงานในตำแหน่งผู้กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกกับแอ๊กชันทริลเลอร์เรื่อง Underworld หลังจากทีก่อนหน้านั้นเขาได้บ่มฝีมือมากับงานถ่ายโฆษณาและมิวสิกวิดีโอมาไม่น้อยแล้ว และเมื่อพิจารณาดูรางวัลและประกาศเกียรติคุณทั้งหลายที่มีอยู่ในมือ การก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เสียทีก็ดูจะสมเหตุสมผลดีสำหรับ Len
แวมไพร์ vs. มนุษย์หมาป่าเป็นไอเดียคร่าวๆที่เราใช้กล่าวถึง Underworld อันเป็นโปรเจ็กต์ที่ถือกำเนิดมาเพื่อค้นหาความแปลกใหม่ให้กับหนังแนวแอ๊กชันเฮอร์เรอร์ ผมกับเพื่อนๆ Kevin (Grevioux) เริ่มนำเรื่องราวและไอเดียต่างๆของแต่ละคนมายำรวมกันเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เราไม่อยากสร้างหนังอย่างนายอำเภอในเมืองเล็กๆที่ต้องบุกป่าเข้าไปคลี่คลายคดีฆาตกรรมอะไรแบบนั้นอีกแล้วละ ผมต้องการอะไรที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป เราก็เลยตัดสินใจที่จะแหกกฎแล้วก็หาคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อให้กับพวกมนุษย์หมาป่าซะเลย ทีนี้พอมาถึงคำถามว่า แล้วใครล่ะจะเป็นคู่ต่อสู้เหล่านั้น? จะเป็นพวกมนุษย์หมาป่าฝ่ายดีเหรอ? แล้วสุดท้ายเราก็ไปจบลงตรงไอเดียที่ว่าแวมไพร์น่าจะเป็นศัตรูที่ไม่เลวที่พอจะต่อกรพวกนั้นได้ เพราะพวกเขามีดีกรีความโหดสูสีกัน แล้วนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของเรา Wiseman
คุณอาจจะคิดว่าคอนเซ็ปต์ของสงครามผีดูดเลือดกับมนุษย์หมาป่านั้นเคยถูกสร้างเป็นหนังใหญ่มาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ แต่ตามที่ Wiseman บอกเรานั้น พล็อทเรื่องแบบนี้ไม่มีปรากฏให้เป็นบนจอหนังมานานหลายทศวรรษแล้ว มันตลกดีเพราะว่าทั้งมนุษย์หมาป่าแล้วก็แวมไพร์ต่างก็เป็นอะไรที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ไหงกลับไม่เคยมีคนคิดจะหยิบทั้งสองพวกนี้ขึ้นมาสร้างเป็นหนังพร้อมๆกันมาก่อนนะ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงนะครับ ตอนที่เราคิดว่า เอาละเราจะทำมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ แล้วทุกคนในทีมต่างก็คิดว่าคงจะเคยมีคนทำหนังแบบนี้มาแล้วแหละ แล้วเราก็เลยไปคุยกับเอเย่นต์ของเราก่อนจะไปลองเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทดู เราลุยเข้าไปในทุกเว็บต์ รวมถึงเช็คดูพวกหนังก่อนยุค 50s ด้วย เราถึงกับช็อคกันถ้วนหน้าเลยที่ได้รู้ว่ายังไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน
Len Wiseman ไม่ได้หวั่นใจอะไรกับการทำหนังโรแมนซ์ แต่คอนเซ็ปต์ความรักแบบ Romeo กับ Juliet ที่ใช้เป็นคำจำกัดความของพระนางในเรื่องนั้น เป็นหัวข้อที่น่าหวาดเสียวเหมือนกัน มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่อันตรายทีเดียวนะครับ เพราะผมค่อนข้างเกรงว่าคนดูจะรู้สึกซ้ำซากกับแนวหนังรักที่ถูกกีดกันแบบนี้ ตอนที่พวกเขาอยากจะทำให้มันออกมาเป็น Romeo กับ Juliet นั้น ความรู้สึกแรกของผมคือกลัวว่าไอเดียนั้นจะทำให้หนังตุปัดตุเป๋ออกนอกลู่นอกทางไปซะนี่ ผมก็เลยลองไปที่สตูดิโอแล้วก็ย้ำกับพวกเขาว่านี่จะเป็นหนังแวมไพร์กับหมาป่านะ เพราะงั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าธีมสองตระกูลที่ไม่ถูกกันของ Montagues กับ Capulets จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าพันธุ์นี้ เพราะโดยธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว มันออกจะหนักไปทางแนวความไว้เนื้อเชื่อในมากกว่าโรแมนซ์อีกนะครับ
ผมเป็นคนที่สนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในหนังอยู่เสมอ และไอเดียอย่างเลิฟสตอรี่ในหนังแอ๊กชันนั้นก็เป็นสิ่งที่ค่อนยากสำหรับผมมาตลอด ถ้าหากว่าธีมเรื่องรักไม่ได้ถูกนำเสนอขึ้นมาอย่างเด่นชัดพอที่จะทำให้คนดูเคลิ้มไปด้วยได้ละก็ มันจะกลายเป็นของอันตรายสำหรับหนัง แต่เลิฟสตอรี่ในเรื่องนี้ของเราจะเหมือน Aliens มากกว่า Romeo กับ Juliet นะครับ และในตอนจบของหนังคนดูก็อาจจะคิดว่า 'ถ้าพวกเขามีเวลาอีกสักนิด บางทีพวกเขาอาจจะได้อยู่ด้วยกันก็ได้' นั่นละเจ๋งที่สุดเลย Wiseman อธิบายปิดท้าย
ด้วยความที่งบประมาณค่อนข้างมีจำกัดสำหรับการทำหนังแอ๊กชัน Wiseman และทีมงานของเขาจึงต้องขวนขวายการทำเอฟเฟ็กต์แบบแฮนด์เมดขึ้นมาใช้แทนเทคนิค CGI ที่มีราคาแพงกันเอาเอง แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผู้กำกับที่ชื่นชอบและนิยมการทำงานแบบปราศจากคอมพิวเตอร์อย่าง Wiseman อยู่แล้ว ผมไม่ค่อยสนใจกับความจำกัดจำเขี่ยของงบที่มีอยู่สักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมต้องการที่จะกลับไปใช้เทคนิคการจำลองและสร้างของเทียมขึ้นมาใช้อยู่แล้ว ผมไม่ต้องการ DG ผมคิดว่าหลังจากที่ได้ดูหนังเยี่ยมๆอย่าง Aliens และ American Werewolf มา ผมก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเป็น Spielberg แล้วก็มีเช็คเปล่าที่เติมตัวเลขได้ตามใจชอบสักใบนึง เข้าใจไหมครับ ถ้าคุณเข้ามาทำหนังเรื่องนี้กับเรา ซึ่งมีงบประมาณแค่ 25 ล้านเหรียญ แล้วเกิดอยากใช้ CG ขึ้นมา คุณคงต้องยิงตัวตายในไม่ช้าแน่ๆ แต่สำหรับเรามันไม่ใช่การสร้างสัตว์ประหลาดความสูง 30 ฟุตสักหน่อย ก็แค่หาชุดเท่ห์ให้พวกเขาใส่แล้วก็ลุยกันเลย
ถึงแม้ว่า Wiseman จะหลีกเลี่ยง CG เอฟเฟ็กต์มากอย่างไรก็ตาม แต่หลังจากเทรลเลอร์ถูกโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ท Wiseman ยอมรับว่าเขาแวะเข้าไปสำรวจตลาดอยู่บ่อยๆในห้องแช็ทรูมและฟอรั่มสนทนาต่างๆ แล้วเขาก็ได้พบว่าผู้คนในต่างพูดกันในทำนองว่า 'ฉันละเซ็ง Wiseman จริงๆเลย เขาทำหนังประเภทใช้ CG มาให้เราดูอีกแล้ว' พอเห็นอย่างนั้นผมก็ เฮ้ เราไม่มี CG ในเรื่องนี้เลยนะพวก ฉากวิ่งขึ้นกำแพงอะไรนั่น เราก็ใช้วิธีสร้างทางเดินโดยใช้ส่วนเพดานเป็นพื้นเพื่อจำลองออกมาให้เป็นพวกเขายืนห้อยหัวอยู่ ส่วนพวกมนุษย์หมาป่านั่นก็ห้อยอยู่กับสลิง เราใช้วิธีถ่ายทีละกลุ่มแล้วนำมารวมกันทีหลัง Wiseman พูด
ด้วยความเป็นหนังแอ๊กชัน เป็นไปได้ที่ Underworld จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับ The Matrix หรือ The Crow แต่ผู้กำกับของเรื่องกลับคิดว่าหนังจะต้องถูกนำไปเปรียบกับหนังแวมไพร์อีกเรื่องอย่างแน่นอนที่สุด ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วละว่า ในเมื่อเป็นหนังแวมไพร์เหมือนกัน แล้วก็มีการไล่ล่าด้วย คนจะต้องคิดว่านี่คือ Blade แน่นอน ส่วนคนที่สะดุดตากับชุดหนังสีดำก็จะต้องคิดไปถึง The Matrix เพราะนั่นเป็นหนังที่ได้ความนิยมมากอีกเรื่องหนึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ของคนดูหนังละครับว่าพวกเขาจะคิดถึงอะไรเป็นอันดับแรก ใครๆอาจพูดว่า นี่ได้รับอิทธิมาจาก The Crow, Bladerunner แล้วก็ Batman ใช่ไหมเนี่ย? แต่สำหรับผมนี่เป็นอิทธิพลจากงานมิวสิกวิดีโอและโฆษณาที่ผมทำมาตลอด 5-6 ปีมานี้ มันเป็นสไตล์ที่ผมชื่นชอบ แต่การถูกเปรียบเทียบนั้นอาจจะกลายเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะในหนังแนวเดียวกัน แต่ถามหน่อยว่า แล้วคุณอยากให้แวมไพร์ใส่ชุดสีอะไรล่ะ แดง ขาว หรือว่าน้ำเงิน?
ในการสร้างโลกใต้ดินสำหรับสงครามระหว่างสองเผ่านั้น Wiseman ค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความสมจริงและน่าเชื่อถือว่านี่คือโลกที่มีอยู่จริงใต้พื้นดิน ที่เห็นในเทรลเลอร์คือสีโทนน้ำเงินและเทาคือโทนสีที่เขาคิดว่าโลกใต้ดินควรจะเป็น แต่ในตอนสุดท้ายมีการเติมแต่งสีสันอื่นๆเข้าไปอีกไม่น้อยจนดูค่อนข้างฉูดฉาดกว่าเดิม ถ้าอยากจะเห็นสีสันในรูปแบบที่ผู้กำกับต้องการแล้วละก็คงจะต้องรอดูกันในเวอร์ชั่นดีวีดี ผมเกลียดสี Wiseman สารภาพก่อนจะเสริมว่า มันโอเคกับการเติมสีลงไปตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ผมชอบการออกแบบและสร้างสรรค์โลกใต้ดินแห่งนี้ มันเป็นโลกที่คุณจะไม่ได้เห็นเมื่อเดินออกมาจากบ้าน ตอนที่ช่วยกันสร้าง Underworld นี้ ทุกคนมีความเห็นพ้องกันว่ามันควรจะออกมาเป็นอย่างไร ผมพยายามที่จะทำให้มันออกมาดูสมจริงที่สุด ไม่ใช่ดูเหมือนซูเปอร์มาเก็ต มันจะไม่ดูเหมือนสถานีรถไฟใต้ดินที่มีร้าน 7-11 อะไรอย่างนั้นหรอกครับ มันจะเป็นโลกที่คุณไม่เคยจินตนาการถึง
Inside 'Underworld' with Kate Beckinsale
Kate Beckinsale ที่เก็บตัวเงียบอยู่หลายเดือนในช่วงนี้ ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในซานดิโอโก้เพื่อร่วมโปรโมทภาพยนตร์แนวการ์ตูนแฟนตาซีเรื่องล่าสุดของเธอ Underworld อันเป็นเรื่องราวการไล่ล่าและต่อกรกันระหว่างสองเผ่าพันธุ์คือแวมไพร์และมนุษย์หมาป่า หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นฉบับอมนุษย์ของ Romeo กับ Juliet ก็ไม่ผิดนัก นอกจากดารานำอย่าง Kate และ Scott Speedman แล้ว โปรเจ็กต์นี้ยังได้ Len Wiseman มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับอีกต่างหาก
Kate พลิกมือขาวๆของเธออวดให้เห็นแหวนหมั้นบนเรียวนิ้ว ก่อนจะพูดติดตลกว่า เธอคิดว่ามือของเธอนั้นใหญ่ไม่แพ้มือของผู้ชายทีเดียว ฉันเป็นพวกลักเพศค่ะ (หัวเราะ) มือฉันน่ะใหญ่เท่ามือของ Ben Affleck เลยละ ซึ่งมันน่าขนลุกนะเพราะว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าฉันมากเลย
ในนิยายวิทยาศาสตร์ที่เป็นต้นกำเนิดของ Underworld นั้น แวมไพร์และมนุษย์หมาป่าเป็นปรปักษ์ที่ก่อสงครามระหว่างเผ่าแบบลับๆกันมาเนิ่นนานแล้ว โดยไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยรู้เห็นเหตุการณ์นองเลือดนี้เลยแม้แต่คนเดียว Kate รับบทเป็น Selena นักรบเผ่าแวมไพร์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มอย่าง Dr.Michael Corvin (Scott Speedman) อย่างไม่คาดคิด โดยที่ตัว Michael เองนั้นก็ถูกไล่ล่าจากพวกมนุษย์หมาป่าอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย สถานการณ์พาไปทำให้ Selena ต้องคอยปกป้องเขาจากการลักพาตัวของพวกมนุษย์หมาป่าที่ได้ล่วงรู้ความลับบางอย่าง
กับการรับบทปีศาจดูดเลือดครั้งนี้ของ Kate Beckinsale นับเป็นการก้าวกระโดดที่พลิกบทบาทจากหน้ามือเป็นหลังมือของเธอ Kate เปิดเผยว่าแนวหนังที่เธอชื่นชอบมากที่สุดก็คือแอ๊กชันนี่แหละ และเธอก็สอดสายตามองหาสคริปต์หนังแอ๊กชันที่มีบทนำดีๆสำหรับนักแสดงหญิงอยู่ตลอดเวลา และครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นสคริปต์ของ Underworld นั้น เธอแทบจะผลักมันออกทันทีโดยไม่ต้องพลิกดูข้างใน ฉันได้สคริปต์มาเป็นปึกใหญ่ แล้วก็มีใบปะหน้าเขียนไว้ข้างบนว่า 'แวมไพร์กับมนุษย์หมาป่า' ฉันพูดเลยว่า 'โอ้พระเจ้า ฉันน่าจะพลิกด้านนี้ลงนะ' แล้วพอเปิดดูข้างใน ฉันก็เห็นภาพวาดที่สวยมากภาพนี้ ซึ่งผู้กำกับของเรื่องเป็นคนวาดขึ้น เขาเป็นจิตรกรที่เหลือเชื่อมาก และมันก็ไม่ใช่อะไรแบบที่ฉันคาดหวังไว้เลย
Underworld แตกต่างเหมือนหนังเขย่าขวัญทั่วๆไปตรงที่มันไม่ได้สร้างมาจากเทพปกรณัม หรือตำนานคลาสสิกเกี่ยวกับแวมไพร์หรือมนุษย์หมาป่าเรื่องไหน เรารักษาบาดแผลเหมือนที่แวมไพร์ทั่วไปทำ แต่เราไม่มีอะไรอย่างกระเทียมหรือการตรึงกางเขนหรอกนะคะ ไม่มีอะไรแบบนั้น เพราะของเราจะไฮเทคกว่า โดยพวกมนุษย์หมาป่าจะมีอาวุธเป็นกระสุนอัลตร้าไวโอเล็ต ซึ่งสร้างมาจากแสงอาทิตย์ที่สามารถฆ่าพวกเราได้นั่นเอง ส่วนฉันที่เป็นพวกแวมไพร์จะกระโดดได้สูงมากและร่อนลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย แล้วพวกเราก็ไม่แปลงร่างเป็นค้างคาวด้วย ไม่มีข้าวของประเภทที่ทำให้ฉันกลัวที่จะต้องแสดงเป็นแวมไพร์อยู่ในหนังเรื่องนี้หรอกค่ะ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับฉันมากเลยนะ อ้อ อาวุธที่เราใช้สังหารพวกมนุษย์หมาป่าก็คือกระสุนเงินไนเตรท แล้วเราที่เราต้องพกก็คือปืนกล็อคกระบอกเบ้อเริ่มสองกระบอกด้วยกัน Kate อธิบาย
แม้ว่าจะมีความพยายามจำกัดให้ Underworld เป็นหนังฟอร์มเล็กๆเรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่วายที่เลือดปลอมเป็นถังๆจะถูกนำมาละเลงในหลายๆฉาก รวมถึงฉากที่ Selena กัดคอ Michael ด้วย ฉากนี้ไม่ใช่ว่านางเอกของเราพยายามจะฆ่าพระเอกแต่อย่างใด แต่เป็นไปเพื่อช่วยชีวิตเขาหรอกนะ ซึ่ง Kate ที่พยายามจะไม่เปิดเผยเรื่องราวมากเกินไปนักอธิบายให้ฟังว่านั่นเป็นการกัดแบบ 'ฉันท์มิตร' ครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
การถ่ายทำส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้กระทำในบูดาเปสต์ ซึ่งเสื้อผ้าของ Selena นั้นเป็นอะไรที่ไม่เหมาะเอาเสียเลยกับสภาพอากาศที่นั่น Kate บรรยายให้เราฟังว่า ที่แรกที่เราไปถ่ายทำก็คือรถไฟใต้ดิน ซึ่งในตัวสถานีนั้นไม่มีเครื่องปรับอากาศ แน่นอนว่ามันร้อนจนแทบสุกทีเดียว แล้วชุดที่ฉันสวมก็ทำจากลาเท็กซ์ ฉันคิดว่ามันเป็นวัสดุที่เขาใช้ทำถุงยางอนามัยใช่มั้ยเนี่ย ยังไงก็ตาม เจ้าลาเท็กซ์นี่แหละ จะทำให้คุณหนาวยิ่งขึ้นในวันที่อากาศหนาวอยู่แล้ว และในกรุงบูดาเปสต์นี่สภาพอากาศเปลี่ยนจากร้อนจัดเป็นหนาวจัดได้ภายในหนึ่งวันเป็นปรกติ เพราะฉะนั้น นี่เป็นชุดที่อึดอัดที่สุดเลย Kate บ่นถึงชุดลาเท็กซ์สีดำของเธอ ฉันเลยต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะให้อะไรต่อมิอะไรอยู่ในที่ในทางที่มันควรจะอยู่น่ะค่ะ
การรับบทนำในหนังแอ๊กชันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องสามัญสำหรับนักแสดงอย่าง Kate เธอเติบโตมาในครอบครัวที่แวดล้อมด้วยพี่น้องผู้ชาย 4 คน แต่เธอกลับไม่ใช่เด็กทอมบอยอย่างที่เราคิด เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงโลดโผนหรือว่าแก่นกะโหลกเกเร แต่พออีกหลายเดือนต่อมาหลังจากที่เธอได้เข้าชั้นเรียนการต่อสู้ เรียนยิงปืนแล้ว Kate ก็หัวเราะและยอมรับว่านี่เป็นความปรารถนาที่อันตรายที่สุดของเธอเลยละ กับการเป็นนางเอกหนังแอ๊กชัน สิ่งที่อันตรายที่สุดในการแสดงหนังแอ๊กชันก็คือ ต่อให้งานเสร็จแล้ว หนังฉายแล้ว คุณก็จะยังคงคิดว่าตัวเองเจ๋งเหมือนตอนอยู่ในหนังอยู่อย่างนั้นแหละ
Kate ได้เรียนรู้บางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเธอเอง ในระหว่างการเตรียมเนื้อเตรียมตัวสำหรับการแสดงใน Underworld นั่นก็คือ เธอเป็นนักแม่นปืน พวกเขาไม่ต้องสอนอะไรฉันมากนักหรอกค่ะ เพราะปืนเนี่ยเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับฉันอยู่แล้ ฉันคงต้องบอกว่า ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยว่าตัวเองเป็นแบบนี้น่ะ ฉันคิดว่ากุญแจสำคัญสำหรับเรื่องนี้อยู่ตรงที่ฝ่ามือขนาดใหญ่เป็นพิเศษเหมือนผู้ชายของฉันละมัง ถ้ามือฉันนุ่มนิ่มและเล็กบอบบางเหมือนผู้หญิงทั่วไปมันก็คงไม่ง่ายอย่างนี้หรอก
Kate ยังได้นำทักษะต่างๆที่เธอได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ไปใช้ในหนังแวมไพร์อีกเรื่องหนึ่งคือ Van Helsing ด้วย พวกเขาแทบไม่ต้องสอนอะไรฉันเลยสำหรับการแสดงใน Van Helsing แค่พูดว่า 'เอาละ วันนี้คุณต้องตีลังกากลับหลังนะ' ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนละก็ฉันคง.......!?!?! แต่พอมาตอนนี้ 'โอเค ฉันทำได้ค่ะ' แต่ปัญหาใหญ่ของฉันกลับกลายเป็นการเต้นรำในห้องบอลรูม มันเป็นอะไรที่ประหลาดที่สุดเลย ฉันรู้สึกแย่มากตอนที่ต้องอยู่ในห้องเต้นรำใหญ่แบบนั้น
Underworld ทำงานอยู่ภายใต้งบประมาณก้อนไม่ใหญ่นักราว 25 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเป็นความตั้งในของผู้กำกับ Len Wiseman ที่อยากให้มันเป็นหนังทุนต่ำสักเรื่องหนึ่ง และเป็นการแสดงที่นักแสดงได้ลงมือทำกันเองจริงๆไม่ใช่หนังแบบที่อัดแน่นด้วย CGI เอฟเฟ็กต์ Michael Sheen นักแสดงที่รับบท Lucian หัวหน้าของเผ่ามนุษย์หมาป่ามีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของฉากที่น่าสนใจที่สุดในเรื่อง Michael Sheen ต้องวิ่งไล่ตามรถ แล้วในฉากนี้เขาก็จะต้องวิ่งเร็วมากด้วย เทคนิคในฉากนี้ก็คือการเอาพรมผืนยาวไปติดเข้าไว้กับส่วนท้ายของรถแล้วให้เขาวิ่งอยู่บนนั้น ภาพที่ออกมาดูเหลือเชื่อจริงๆ แต่ถ้าคุณได้เห็นขั้นตอนของมันแล้วละก็มันเป็นอะไรที่โลว์เทคมากเลย
Kate ยอมรับว่าเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบ CGI แม้ว่าบางซีเควนซ์ของเรื่องจะถูกตบแต่งด้วย CGI ให้ดูดีขึ้นก็ตาม ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญนะคะที่จะได้เห็นนักแสดงลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง ฉันรู้ดีว่าตอนที่เราเริ่มถ่ายทำเรื่องนี้กันนั้น พวกเขาบอกฉันว่า 'อย่ากังวลไป ถ้าคุณทำไม่ได้ นักแสดงสตันท์จะจัดการแทนคุณเอง' แต่นั่นเป็นการแสดงแทนนี่คะ เราอยากทำให้เห็นว่านั่นคือเราต่างหาก แล้วเราก็ทำอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย ฉันไม่ต้องพึ่งสตันท์ของฉันเลยสำหรับฉากที่เขายอมให้ฉันแสดงด้วยตัวเอง ฉันอยากจะเห็นนักแสดงตัวจริง แสดงจริงๆ นั่นแหละถึงจะเจ๋ง ประกอบกับงบประมาณของเราก็ไม่ได้อำนวยให้พึ่งพาเทคนิคอะไรได้มากนักด้วย
ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ประหลาดๆกันทั้งนั้น แล้วฉันก็คิดว่านี่คงจะเป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับงานแบบนี้ ฉันคิดว่า Underworld นี้สำหรับพวกคุณแล้วมันคงให้ความรู้สึกเหมือนกับเรื่อง The Crow ผสม The Matrix บวกกับ Interview with a Vampire อะไรแบบนั้น ซึ่งสำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่เลย
แล้วถ้าเกิดแจ็กพ็อตประสบความสำเร็จขึ้นมาล่ะ ทางสตูดิโอจะทำไตรภาคสำหรับ Underworld ด้วยหรือเปล่า เราก็เลยลองถามเธอเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาแสดงในภาคต่อดู แล้ว Kate ก็ตอบว่า ค่ะ ถ้าหากว่าสคริปต์ดีพอเท่ากับภาคแรกละก็ เราก็คงทำ เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมจริงๆ
เป็นโชคดีสำหรับ Kate ที่เธอมีโปรเจ็กต์อื่นจ่อคิวรออยู่อีกเป็นหางว่าว เพราะฉะนั้นหากจะมีภาคต่อสำหรับ Underworld แล้วก็ละ คงจะต้องต่อท้ายแถวอีกยาวทีเดียว และผลงานของเธอที่กำลังรอออกสู่สายตาเราก็มี บทเจ้าหญิงยิปซีใน Van Helsing และ Ava Gardner ในหนังของ Martin Scorsese เรื่อง Aviator ที่เธอจะได้ประกบกับ Leonardo DiCaprio และ Howard Hughes เราลองถาม Kate ดูด้วยแหละ ว่าเธอเชื่อหรือเปล่าว่า Hughes และ Gardner มีนอกมีในกันเกินเพื่อน Kate บอกว่า ไม่เชิงหรอกค่ะ พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริงๆ มันอาจจะดูคลุมเครือ แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะอะไรกันหรอกนะ หรือถ้าจะมี Hughes ก็คงเป็นฝ่ายเต็มใจอย่างที่สุดละ
Scott Speedman Talks About 'Underworld'
Scott Speedman เริ่มต้นงานแสดงภาพยนตร์กับหนังสั้นที่มีชื่อว่า Can I Get a Witness ที่ออกฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงโตรอนโต้ ประเทศแคนาดาเมื่อปี 1996 Scott เกิดที่กรุงลอนดอนแต่มาโตเอาที่แคนาดา และเริ่มเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของชาวอเมริกันจากซีรีส์เรื่อง Felicity ที่แสดงคู่กับคนสวย Keri Russell
Len Wiseman ผู้กำกับของ Underworld ได้เห็นหน้าสวยๆของนาย Scott คนนี้ผ่านทางซีรีส์เรื่อง Felicity แต่ออกตัวนั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาเลือก Scott ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ แต่เป็นทัศนคติของ Scott ที่มีต่อโปรเจ็กต์ต่างหากที่โดนใจเขา Scott จริงจังกับทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ และเขาก็ต้องการให้มันออกมาสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ Wiseman ออกความเห็น
กับบทหมอหนุ่ม Michael Corvin นั้น Scott จะต้องถูกตามล่าโดยฝูงมนุษย์หมาป่าใจโหด และเขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก Selena แวมไพร์ที่ต้องการหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้เหล่ามนุษย์หมาป่าต้องการตัวผู้ชายคนนี้
ทางกองถ่ายส่ง Scott เข้ารับการฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวรับมือกับฉากแอ๊กชันมากมายที่เขาจะต้องแสดงในหนัง ท่าทางการต่อสู้ของผมดูเหมือนเด็กผู้หญิง เพราะฉะนั้นผมจำเป็นต้องถูกเทรนใหม่ ซึ่งมันก็สนุกดีนะครับ ที่ต้องหัดทำท่าบ้าๆบอๆ มันประหลาดกว่าการเรียนรู้วิธีทุบตีคนอีก Scott พูดติดตลก มันก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ เพียงแต่ผมได้แผลเป็นที่หลังเป็นของที่ระลึกจากการถูกลากไปบนพื้น เพราะมันดันมีตะปูตกอยู่ตัวหนึ่งแล้วพวกเขาก็ลากผมไปด้วยเส้นลวด พอทำแผลเสร็จผมก็เดินไปอวดให้พวกเขาดู รู้มั้ยพวกเขาบอกว่าไง 'เย้ ไม่ว่านายจะทำอะไรก็แล้วแต่ นายจะไม่ได้รับความเห็นใจจากเราหรอกเฟ้ย'
ตัวละครของ Kate นั้นเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาวุธต่างๆเป็นอย่างดี นั่นทำให้เธอต้องเข้าคอร์สพิเศษเกี่ยวกับการใช้ปืน ในขณะที่ตัวละครของ Scott นั้นตรงกันข้าม เพราะเขาไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับอาวุธปืนเลย Scott อธิบายว่า ผมแสดงเป็นแฟนสาวของเธอน่ะ ผมจะต้องทำหน้าช็อคสุดขีดตอนที่เธอเหวี่ยงผมลงกับพื้น แล้วผมก็ต้องกรีดร้องด้วยความกลัวด้วย ตอนที่ได้ดูฉากนี้ผมครางว่า 'ว้าว ประหลาดเป็นบ้าเลยแฮะ' แต่ผมโอเคกับมันนะ ผมดีใจที่ไม่ต้องไปเข้าชั้นเรียนการยิงปืน มันทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นเยอะเลย
บางทีสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับ Scott ในเรื่องนี้อาจจะเป็นการนั่งให้ช่างแต่งหน้าลงเมคอัพมนุษย์หมาป่า ซึ่งแต่ละครั้งกินเวลานานถึง 5 ชั่วโมงก็เป็นได้ มันเป็นเรื่องท้าทายนะครับ แล้วก็เจ๋งมากด้วย พวกเขากังวลแล้วก็เป็นห่วงเพราะผมเป็นพวกคนไฮเปอร์น่ะ ทุกคนกลัวว่าผมจะสติแตกไปซะก่อนบนเก้าอี้นั่น แต่ผมมีทางแก้ก็คือฟังเพลง ดื่มกาแฟเยอะๆ นั่งมองพวกเขาทำงาน แล้วก็คุยกันเรื่องเกี่ยวกับตัวผมเอง ตอนที่ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น ผมเป็นงานศิลปะชิ้นสำคัญเลยนะครับ พวกเขาเป็นปฏิมากร ถ้าผมขยับ พวกเขาจะเริ่มเสียขวัญ ยังไงก็ตามมันสนุกมากเพราะมันทำให้ผมได้ใช้เวลาดูโทรทัศน์หรือทำอะไรเพลินๆได้เยอะเลย ถ้าไม่คิดถึงหน้ากากที่พอกอยู่บนหน้าน่ะนะ (ชี้นิ้วเข้าที่หน้าของตัวเอง)
Scott สนุกกับงานนี้มากพอที่จะทำให้เขาพร้อมจะเซ็นสัญญาสำหรับภาคต่อทันที ถ้าแผนที่วางไว้ดูดีพอ บางทีส่วนที่ยากที่สุดคงจะเป็นฉากโปรดของผมมังครับ ซีเควนซ์ต่อสู้ใหญ่ในตอนท้ายของเรื่อง มันยากมาก แต่ก็สนุกและท้าทายมากเหมือนกัน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมอยากแสดงฉากนี้ ผมไม่เคยมีโอกาสแสดงอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยคิดจะแสดงด้วย Scott อธิบาย ผมใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะผ่านมาได้ มันดูยุ่งยากแล้วก็วุ่นวายมาก แต่ผมก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และถ้ามันประสบความสำเร็จละก็ ผมยินดีจะแสดงภาคต่อของมันครับ