Setting Sail
สำหรับคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ชื่อ Sinbad ชวนให้นึกถึงภาพการผจญภัยของจอมโจรกลางท้องทะเล Sinbad ถือกำเนิดมานานกว่าหนึ่งพันปีในเรื่องเล่าเก่าแก่ The Arabian Nights ก่อนหน้านี้ Sinbad เคยขึ้นจอใหญ่มาแล้ว ที่โด่งดังที่สุดก็คือภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคสต๊อป-โมชันสุดคลาสสิกของ Ray Harryhausen อย่างไรก็ดี ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของงานสร้างภาพยนตร์การ์ตูนในปัจจุบัน ทำให้ Sinbad ได้ขึ้นจอในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน Sinbad: Legend of the Seven Seas
ผู้อำนวยการสร้าง Jeffrey Katzenberg กล่าวว่า "Sinbad คือหนึ่งในฮีโรที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเราทุกคนต่างรู้จัก แต่เรื่องราวของเขากลับไม่เคยได้รับการบอกเล่าออกมาด้วยภาพยนตร์การ์ตูนมาก่อนเลย และโอกาสที่จะได้สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ที่มาพร้อมกับอารมณ์ร่วมสมัยนับว่าน่าตื่นเต้นมาก การบอกเล่าเรื่องราวของ Sinbad ยังเปิดโอกาสให้เราได้สร้างโลกสุดมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดในจินตนาการ นั่นคือความสนุกของภาพยนตร์อนิเมชัน ซึ่งก็คือการพาคนดูไปยังสถานที่ที่พวกเขายังไม่เคยเห็นมาก่อน
สำหรับบทภาพยนตร์นั้น ทีมผู้สร้างทาบทามมือเขียนบทที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อการนำฮีโรในอดีตขึ้นจอ เขาก็คือ John Logan มือเขียนบทจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์ Gladiator
"หลังจากความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของ Gladiator แล้ว เราคิดกันว่า ใครกันที่จะเหมาะมาสร้างตำนานของ Sinbad" Katzenberg เล่า "John ตั้งใจที่จะนำเรื่องราวที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเรื่องนี้และสร้างสรรค์ขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบที่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องราวที่มีเสน่ห์สำหรับคนดูศตวรรษที่ 21 และผมคิดว่าเขาทำแบบนั้นได้สำเร็จจริงๆ"
John Logan ซึ่งยังไม่เคยทำงานกับภาพยนตร์การ์ตูนมาก่อนเลย เล่าให้ฟังว่าเขารู้สึกทึ่งกับความเป็นไปได้ของเรื่องราวนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า "ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี Jeffrey Katzenberg เข้ามาถามผมว่า ผมอยากจะเขียนบทให้ภาพยนตร์การ์ตูนหรือเปล่า ผมบอกเขาว่า 'ผมไม่ค่อยรู้เรื่องภาพยนตร์การ์ตูนสักเท่าไหร่' เขายืนยันกับผมว่า 'มันสนุกมาก คุณจะได้สนุกกับการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้แน่' ซึ่งความสนุกครั้งนี้มันกินเวลาในชีวิตของผมไปถึงสี่ปีเชียวแหละ" Logan หัวเราะ
"แต่ผมคงต้องบอกว่า มันสนุกจนไม่น่าเชื่อ" Logan กล่าวต่อ "ผมเติบโตมากับภาพยนตร์ Sinbad คลาสสิกของ Ray Harryhausen เช่นที่มีพวกสัตว์ประหลาดแบบสต๊อปโมชัน อนิเมชัน แล้วผมก็ชอบพวกภาพยนตร์เกี่ยวกับโจรสลัดที่มาพร้อมกับฉากฟันดาบมาก ผู้ชายคนไหนล่ะที่จะไม่ชอบ ดังนั้น การได้มาเล่นสนุกในโลกแบบนั้นสักพักมันก็น่าตื่นเต้นดี ภาพยนตร์การ์ตูนยังเป็นโลกที่มีอิสระอย่างมาก เพราะมันให้อิสระกับคนเขียนบทที่จะสำรวจโลกที่มหัศจรรย์ที่สุด ถ้าเป็นภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงนั้น ผมมักจะต้องคิดคภำนึงอยู่เสมอว่า ถ้าผมเขียนบทให้มีทหารจำนวนหนึ่งหมื่นคนวิ่งไปตามเขา ก็จะต้องมีการคัดเลือกหาตัวนักแสดง ไหนจะต้องมีคนออกแบบเสื้อผ้า ไหนจะต้องมีคนถ่ายทำ แล้วก็ต้องไปถ่ายทำกันที่ภูเขา แต่ในโลกของการ์ตูน ถ้าผมเขียนให้มีสัตว์ประหลาดจากท้องทะเลขนาด 100 ฟุตโผล่ขึ้นมาจากคลื่น และกระโดดเข้าใส่เรือ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้"
Logan ยังรู้สึกพอใจต่อการทำงานเป็นทีมที่เขาพบเมื่อมาทำงานกับภาพยนตร์การ์ตูนแบบนี้ "ผมเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากบรรดาบุคคลผู้มีความสามารถเหล่านี้ เพราะการเขียนบทให้ Sinbad ที่จริงแล้วก็คือการร่วมมือกันกับผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ นักวาดการ์ตูน ผู้ลำดับเรื่องราว เหล่าศิลปิน คนให้เสียงพากย์...มันเหมือนกับระบบกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในห้อง สิ่งดีๆ เกิดขึ้นเมื่อเราทุกคนต่างพยายามทดลองสิ่งแปลกใหม่กับเนื้อหาของเรื่องนี้"
ผู้อำนวยการสร้าง Mireille Soria กล่าวว่า "เราเริ่มต้นกับตำนานของ Sinbad จากนั้นได้นำองค์ประกอบด้านอื่นๆ ของตำนานที่เรารู้สึกว่ามันใช้ได้ดีกับเรื่องนี้ จะมีทั้งฉากแอ๊กชันและเรื่องรัก แต่โดยหัวใจแล้วมันคือเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพที่อิงอยู่กับตำนาน Damon และ Pythius ของกรีก เกี่ยวกับเพื่อนคนหนึ่งที่ยินดีสละชีวิตของเขาเพื่อคนอื่น"
ผู้กำกับ Patrick Gilmoreกล่าวว่า "เราพยายามค้นหาในตำนานอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป เพื่อหาสิ่งที่เราคิดว่าเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และสัตว์ประหลาดที่ดีที่สุดเพื่อมาทดสอบฮีโรของเรา แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่องก็คือการทดสอบเรื่องของมิตรภาพ ในเรื่องของเรา Sinbad ได้กลับมาเจอกับ Proteus เพื่อนของเขาหลังจากแยกย้ายกันไปนานถึงสิบปี แต่เมื่อ Sinbad มีปัญหา Proteus กลับก้าวออกมาและเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยเพื่อนเก่าของเขา และ Sinbad ซึ่งเป็นจอมโจรที่คุ้นเคยกับการมีอิสระในการทำทุกอย่างที่เขาอยากจะทำในชีวิต จะทำอย่างไร เขาจะออกเดินทางสู่เส้นขอบฟ้า หรือจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเพื่อนของเขา"
Cast On
Brad Pitt เป็นผู้ให้เสียงพากย์แก่ตัวละครเอก Sinbad หรือที่ตัว Pitt เองแอบเรียกแบบติดตลกว่า "ผมชอบเรียกเขาว่า Sin-Brad" Pitt อธิบายถึงลักษณะตัวละครตัวนี้ว่า "เขาเป็นจอมโจร เขาใช้ชีวิตอยู่กับการผจญภัยในทะเลกว้าง เขาพบขุมทรัพย์เล็กๆ พบสัตว์ประหลาดนิดหน่อย...และเขาก็ชอบผู้หญิง"
ผู้กำกับ Tim Johnsonกล่าวว่า "การเลือก Brad Pitt ให้มาเป็น Sinbad ถือเป็นโฮมรันสำหรับพวกเรา เขาเป็นคนตลก เป็นคนมีความสามารถ เป็นคนห้าวหาญ เมื่อได้เขามาจัดการกับตัวละครตัวนี้ เราจึงได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมมาก"
"เขาเข้ากับบท Sinbad มาก" Gilmore กล่าวเสริม "Brad เป็นคนมีเสน่ห์ คารมคมคาย และสนุกเมื่อได้อยู่ใกล้ เขาเป็นผู้ชายประเภทที่คุณอยากจะร่วมเดินทางไปด้วย และนั่นก็คือสิ่งที่เราต้องการให้มีในตัว Sinbad Sinbad เป็นคนฉลาด มุ่งมั่น และยังมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาสามารถช่วยให้คุณพ้นจากปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกัน เขากลับชอบสร้างปัญหา Brad สามารถแสดงลักษณะเช่นนั้นออกมาได้ดี"
Jakob Hjort Jensen ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมอนิเมเตอร์ที่ดูแลงานวาดตัวละคร Sinbad กล่าวว่า Pitt ให้การแสดงที่มีมากกว่าเสียง "Brad มีท่วงท่าการเคลื่อนไหวร่างกายในแบบที่ไม่เหมือนใคร เวลาเขาพูดเขามักใช้มือประกอบ ทำให้ดูสนุกมากเวลาที่ได้เห็นเขาท่องบท และสังเกตเห็นสิ่งต่างๆ ที่เขาทำกับมือของเขาที่ผมสามารถนำมาใช้ได้ ผมยังสเก็ตช์ภาพขึ้นอย่างคร่าวๆ เพื่อผมจะได้ยังจำท่าทางของเขาได้แม้ในสี่ห้าเดือนหลังจากนั้น เมื่อผมต้องลงมือวาดฉากใดขึ้นมา"
Pitt ที่เพิ่งเข้ามาทำงานด้านอนิเมชันครั้งแรก ยังต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาขณะทำการบันทึกเสียงพากย์เป็น Sinbad "ผมอินไปกับมันจริงๆ ผมจะกลับบ้านและพบว่าตัวเองระบมไปหมด ถึงแม้ผมอยากให้ตัวเองสามารถรับความดีความชอบไปได้เต็มที่ แต่ผมคงต้องบอกว่าส่วนใหญ่ของตัวละครตัวนี้อยู่ในกำมือของ Jakob และอนิเมเตอร์คนอื่นๆ ผมประทับใจมากกับรายละเอียดที่พวกเขาใส่ลงไปในสีหน้า และท่วงท่าการเคลื่อนไหว สิ่งที่พวกเขาได้ทำกับงานอนิเมชันทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ"
"พวกนักวาดการ์ตูนเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถและหายากมาก" Johnson เห็นด้วย "เมื่อนักวาดการ์ตูนคนหนึ่งได้นั่งดูการแสดง เขาไม่เพียงแค่ฟังเสียงเท่านั้น แต่เขาจะมองหาท่าทางเด่นๆ ที่นักแสดงใช้ในการแสดงประโยคนั้นออกมา จากนั้นก็ทำให้มันดูเด่นชัดมากขึ้น มันเป็นขั้นตอนที่ยอดเยี่ยมและพิถีพิถันมาก Jakobสามารถผสมผสานความเป็น Brad ที่เป็นหัวใจของความเป็น Brad และเป็นสิ่งที่ทำให้คนดูจดจำเขาได้มาใช้ ดังนั้นถึงแม้ว่าหน้าตาของ Sinbad จะดูไม่เหมือนกับ Brad Pitt แต่ Sinbad จะมีท่วงท่าการเคลื่อนไหวเหมือนกับBrad มาก"
Sinbad กับลูกเรือของเขาตระเวนปล้นไปทั่วเจ็ดย่านมหาสมุทร แต่บัดนี้ Sinbad กำลังออกตามล่าหาขุมทรัพย์ล้ำค่าและทรงพลังที่สุด นั่นก็คือคัมภีร์แห่งสันติสุข แต่โชคร้ายสำหรับเขา เพราะยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องการสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เช่นกัน บุคคลนั้นก็คือ Eris เทพธิดาแห่งความยุ่งเหยิงจอมเจ้าเล่ห์ ซึ่งแสวงหาความสุขสำราญในชีวิตด้วยการสร้างความวุ่นวายบนโลก
John Logan กล่าวว่า "นักเขียนเก่งๆ ทุกคนจะบอกคุณว่าตัวละครที่เขียนได้สนุกที่สุด ก็คือตัวผู้ร้าย สำหรับผมแล้ว Eris เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เพราะกับเทพเจ้าคุณสามารถทำเรื่องเวอร์ๆ ได้ทุกอย่าง และเมื่อผู้ร้ายคือเทพธิดา มันจึงกลายเป็นความสนุกสนานแบบไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ"
Michelle Pfeiffer ผู้ให้เสียงพากย์ Eris ดูกระตือรือร้นมากที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในความสนุกสนานครั้งนี้ "พวกเขาบอกแค่ว่าเธอเป็น 'เทพธิดาแห่งความยุ่งเหยิง' แล้วฉันก็ตอบกลับไปว่า 'ตกลง'" Pfeiffer หัวเราะ "ฉันไม่ได้พยายามจะสร้างสรรค์ตัวผู้ร้าย ฉันต้องการให้เธอเป็นตัวละครที่มีลูกเล่น เธอเพลิดเพลินกับการสร้างปัญหาเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ดูน่าสนใจและเพลิดเพลินขึ้นสำหรับเธอ เหมือนกับมันเป็นรายการทีวีที่นำเสนอภาพชีวิตจริง ถ้ามันมีแต่ความสุขสงบมากไป เธอคงจะเบื่อมาก เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นและกลายเป็นเกมเมื่อ Eris แน่ใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เพราะเธอเชื่อว่ามนุษย์อ่อนแอ เธอจึงหยอกล้อเล่นกับ Sinbad ราวกับแมวที่เล่นเอาล่อเอาเถิดกับหนู"
Pfeiffer ได้เพิ่มบทบาทที่น่าจดจำที่สุดให้กับประวัติผลงานของตัวเองอีกเรื่อง Gilmore บอกว่า "Eris คือนางแมวป่าที่มาพร้อมกับความซับซ้อนของเทพเจ้า เธอมีลักษณะที่ผสมผสานระหว่างความมีเสน่ห์ยั่วยวน ความมหัศจรรย์ ความสนุก และเกม ซึ่ง Michelle สามารถผสมผสานทุกอย่างนี้เข้าด้วยกันอย่างงดงาม"
Katzenberg ซึ่งเคยร่วมงานกับ Pfeiffer มาแล้วในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของค่ายดรีมเวิร์กส์อย่าง The Prince of Egypt กล่าวว่า "ผมไม่เชื่อว่าจะมีนักแสดงคนใดอีกในโลกที่จะสามารถผสมผสานลักษณะที่น่าทึ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันดีเท่ากับที่Michelleได้ทำไว้ ผมคิดว่าตัวละครอย่าง Eris เป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะเธอไม่ใช่แค่อิงอยู่กับลักษณะการเคลื่อนไหวที่นักแสดงจะสามารถเข้าใจได้เท่านั้น แต่มันได้กลายเป็นกระบวนการทำงานที่เป็นการร่วมมือที่นำไปสู่การค้นพบตัวละครระหว่างเดินทางไป Michelle ไม่ใช่แค่เดินเข้ามาและอ่านบทไปเท่านั้น แต่เธอยังช่วยสร้างสรรค์ตัวละครตัวนี้ขึ้นมาด้วย"
Gilmore เปิดเผยว่า "ตั้งแต่การเตรียมงานระยะแรก เราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับ Erisว่าเป็นผลผลิตจากความคิดของเธอเอง หมายความว่าเธอสามารถคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างและกลายเป็นสิ่งนั้นได้ หรือคิดว่าอยากจะไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง และเธอสามารถไปอยู่ที่นั่นได้ทันที เธอแปลงร่าง เธอบิดตัว เธอเปลี่ยนรูปทรง..."
ในการแสดงให้เห็นถึงผลงานอันโดดเด่นที่สามารถทำสำเร็จลงได้ด้วยฝีมือของทีมนักวาดการ์ตูน การเปลี่ยนร่างอย่างทันทีทันใดของ Eris สามารถเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ด้วยเครื่องมือของงานอนิเมชันสองมิติ Dan Wagner ซึ่งเป็นซูเปอร์ไวซิงอนิเมเตอร์ตัวละคร Eris กล่าวว่า ถึงแม้งานนี้จะถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวด "แต่การแปลงร่างกลับกลายเป็นส่วนที่สนุกที่สุดในการวาดภาพ Erisขึ้นมา นี่คืองานอนิเมชันล้วนๆ เมื่อผมต้องวาดภาพยามเธอแปลงร่าง ผมจะมีโมเดลหลักที่เราต้องยึดถือ และมันไม่มีขอบเขตจำกัด มันสนุกจริงๆ"
วิธีของ Wagner ในการวาดภาพ Eris เทียบได้กับการวาดภาพตัวละครถึงสองตัว เมื่อเขาต้องดูแลงานวาดภาพเส้นผมที่ยาวสลวยของเธอแยกออกมาต่างหากอีกองค์ประกอบหนึ่ง "เส้นผมเป็นเหมือนกับตัวละครตัวที่สอง" Wagner อธิบาย "ตอนแรก ผมจะต้องวาด Eris ที่ไม่มีเส้นผมขึ้นมาก่อน จากนั้นเมื่อได้ภาพที่น่าพอใจแล้ว ผมถึงจะเพิ่มส่วนเส้นผมเข้าไป ผมอยากให้เส้นผมของเธอให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ใต้น้ำ ร่างกายของเธอจะเคลื่อนไหวไปทั่ว แต่เส้นผมของเธอจะเหมือนกับมีวิถีของมันเอง มันแสดงให้เห็นถึงอีกมิติหนึ่งในตัวละครของเธอ ถึงแม้จะถือเป็นความสำคัญรองลงมา เพราะสิ่งแรกที่เราต้องเน้นกันมากก็คือสิ่งที่อยู่บนใบหน้าของเธอ"
Eris ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงงานวาดการ์ตูนด้วยมือที่เยี่ยมที่สุดเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่างานอนิเมชันสามารถผสมกลมกลืนระหว่างภาพการ์ตูนสองมิติ ซึ่งก็ถือการ์ตูนแบบคลาสสิกทั้งหลาย กับการ์ตูนสามมิติที่เป็นภาพจากคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อจริงๆ ตัวละครตัวนี้มีลักษณะที่เหมือนกับเป็นอากาศ โดยเธอจะล่องลอยไปในอากาศ และไม่เคยสัมผัสพื้นด้วยสิ่งที่มนุษย์โลกเรียกว่าขาเลย เพื่อช่วยให้ Eris มีลักษณะที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปมากขึ้น ใบหน้า, เรือนร่าง และผมของเธอจึงถูกวาดออกมาเป็นการ์ตูนปกติ ในขณะที่ส่วนปลายร่างกายของเธอที่ดูมีลักษณะเป็นหมอกควันนั้นจะถูกสร้างให้เป็นอนิเมชันแบบสามมิติ
Doug Ikeler เอฟเฟ็กต์ซูเปอร์ไวเซอร์ของภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ อธิบายว่า "Eris เป็นตัวการ์ตูนที่วาดด้วยมือก็จริง แต่เราต้องการรวมเธอให้เป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว เราจึงใช้สิ่งที่เรียกว่า เพนต์เอฟเฟ็กต์เพื่อทำให้เธอมีลักษณะเป็นหมอกแบบสามมิติ ซึ่งเป็นงานที่ยากมากเพราะภาพการ์ตูนแบบสองมิติจะมีลักษณะเป็นภาพแบนๆ ซึ่งถูกวาดลงบนกระดาษ ในขณะที่ภาพการ์ตูนสามมิติจะมีความลึก ดังนั้น ตัวละครและตัวกลุ่มควันที่ติดตามเธอมานั้นจึงเหมือนกับตั้งอยู่ในสองที่ที่ต่างกัน เราจัดการโกงภาพด้วยการทำให้มันเหมือนกับอยู่ในที่เดียวกัน แต่เมื่อเธอสัมผัสลงพื้นเมื่อใด หมอกนั้นจะแผ่กระจายออก และย้อนกลับไปยังอากาศ ตรงส่วนนี้จะเป็นภาพสามมิติล้วนๆ"
เมื่อ Sinbad มีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่ขโมยคัมภีร์แห่งสันติสุข Eris จึงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ความสุขสงบเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการ ดังนั้นเธอจึงต้องเก็บหนังสือเล่มนี้เอาไว้ และส่งให้ Sinbadไปกระทำความผิดแทน เสียงคัดค้านจากความบริสุทธิ์ของ Sinbad ต้องโดนปิดปากเอาไว้ จนเขาถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ท่ามกลางความตกใจของทุกคน เจ้าชาย Proteus ได้เข้ามาช่วย Sinbad ถึงแม้หลักฐานทั้งหลายจะส่งผลร้ายต่อตัว Sinbad แต่ Proteus ไว้วางใจ Sinbad ถึงขนาดยอมเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง เพื่อสนับสนุนให้ Sinbad ออกเดินทางค้นหาคัมภีร์ล้ำค่าและนำมันกลับมาให้ทันเวลาเพื่อช่วยชีวิตของเจ้าชายไว้
"Proteus เป็นชายที่มีความรับผิดชอบอย่างจริงจัง" Tim Johnson บอก "เขาคือเจ้าชายแห่งซีราคิส และเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับหายนะครั้งใหญ่ที่เมืองนี้เคยเจอมา นั่นก็คือการโดนขโมยคัมภีร์แห่งสันติสุข Proteus รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องไขปัญหาครั้งนี้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อในความบริสุทธิ์ของ Sinbad แต่เขารู้ดีด้วยว่า Sinbad เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถตามล่าหาคัมภีร์แห่งสันติสุขเจอ"
Johnson กล่าวเสริมอีกว่าความรักเกียรติของ Proteus ทำให้เขาเป็นบทที่เล่นได้ยากมาก แต่การเลือกJoseph Fiennes ให้มารับบทนี้ ได้ช่วยสร้างสมดุลให้กับตัวละครได้มาก "Proteus เป็นคนมีเกียรติและยึดมั่นความจริง เขาอาจจะกลายเป็นตัวละครที่ดูเรียบๆ ได้ง่าย แต่ Joe ได้สร้างสรรค์ผลงานที่น่าทึ่ง เขานำการเคลื่อนไหวใส่เข้าไปในตัว Proteus ที่แสดงให้เห็นว่าเขาจัดการกับทุกการตัดสินใจอย่างไร คุณจะเข้าใจเลยว่านี่ไม่ใช่ชายที่ด่วนตัดสินใจง่ายๆ เขาเป็นคนที่เข้าใจดีเลยว่าบางครั้งคนเราต้องเสียสละมากแค่ไหนในการกระทำสิ่งที่ถูกต้อง"
Joseph Fiennes เห็นด้วยว่า Proteus ต้องดิ้นรนต่อสู้กับหน้าที่ที่มาพร้อมตำแหน่งของเขา ซึ่งทำให้เขาต้องเก็บกดความรักในการผจญภัยของเขาไว้ "มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะเกิดความรู้สึกว่าโดยลึกๆ แล้ว ถ้า Proteusไม่ได้ถูกจำกัดด้วยตระกูลของเขา เขาคงอยากจะร่วมเดินทางไปในท้องทะเลกว้างกับ Sinbad ในฐานะของโจรสลัด" Fiennes ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ "อาจจะมีความเป็นหยินและหยางอยู่ภายในตัวเขา แรงกระตุ้นนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ Sinbad เป็น...ทุกสิ่งทุกอย่างที่มิตรภาพระหว่างผู้ชายยืนหยัดอยู่ ระหว่างตัวละครสองตัวนี้มีอดีตที่ดี พวกเขามีมิตรภาพที่วิเศษที่เกิดจากการที่เขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาช่วยจุดประกายให้กันและกัน และขณะที่พวกเขาอาจเถียงกัน แต่คุณจะรู้เลยว่าระหว่างพวกเขามีทั้งความไว้วางใจและความรักที่ยิ่งใหญ่"
การใช้ชีวิตแบบเจ้าของ Proteus ส่งอิทธิพลต่อวิธีการวาดของ Rudolph Guenoden ซึ่งเป็นซูเปอร์ไวเซอร์อนิเมเตอร์ที่ดูแลวาดการ์ตูนตัวนี้อยู่ "เราต้องสร้างความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนไหวและการนำเสนอตัวเองของ Sinbad และ Proteus" Guenoden บอก "Proteus เป็นคนที่ได้รับการศึกษาและได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เกิด เขาจึงเป็นคนที่มีระเบียบและมีมารยาทที่เหมาะสม ผมต้องดึงเอาท่าทางหรือมายาทที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และทำให้มันกลายเป็นท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่ดูงดงาม นั่นคืองานที่ยากที่สุด เพราะในฐานะของนักวาดการ์ตูน คุณอยากจะทำให้มันเวอร์ แต่กับ Proteus ยิ่งน้อยยิ่งดี Joseph Fiennes ทำให้งานของผมง่ายขึ้น เพราะเขาเป็นนักแสดงที่มีความจริงจัง และผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นท่าทางของ Proteus จึงมีให้เห็นอยู่แล้ว ผมก็แค่ต้องเดินไปตามเส้นทางนั้นเท่านั้น"
Fiennes บอกว่าแรงบันดาลใจสำหรับตัวละครตัวนี้ได้ผลทั้งสองทาง "คุณมีความเข้าอกเข้าใจในตัวละครตัวนี้โดยมองผ่านจินตนาการของนักวาดการ์ตูน นี่คือการผจญภัยครั้งแรกของผมในโลกของการ์ตูน ซึ่งผมตื่นเต้นมากกับโอกาสครั้งนี้ จินตนาการที่จะได้สร้างโลกที่พวกเขาขอให้ผมเดินเข้าไปนั้น..นักแสดงอย่างเราจะปฏิเสธได้อย่างไร รายละเอียดของการทำงานด้านนี้มันน่าเกรงขามมาก ผมรู้สึกนับถือคนที่วาดตัวละครพวกนี้มานานหลายปี มันเป็นงานที่มีความพิเศษจริงๆ"
และผลที่ออกมา ความไว้วางใจของ Proteus ที่มีต่อตัว Sinbad อาจจะอยู่ผิดที่ไปนิด อย่างไรก็ดี Marina คู่หมั้นสาวของเขา ซึ่งเป็นทูตจากเธรซ ไม่เคยหลงใหลชื่นชมในตัว Sinbad และสัญชาตญาณของเธอก็เป็นจริง เพราะแทนที่จะมุ่งหน้าไปสู่ที่ซ่อนของ Eris ในทาร์ทารัส Sinbad กลับหันหัวเรือชิมีร่า มุ่งหน้าสู่เกาะฟิจิ โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่บนเรือด้วย Marina แอบขึ้นเรือมา โดยมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมให้ Sinbad ทอดทิ้งความตั้งใจของเธออย่างเด็ดขาด
"Marina เป็นคนที่มีจิตใจมุ่งมั่น ซึ่งกลายเป็นสิ่งท้าทาย Sinbad" Gilmore บอก "Sinbad มองตัวเองว่าเป็นเจ้าแห่งทะเลทั้งเจ็ด และคุ้นเคยกับการสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนเรือของเขาได้ จู่ๆ โลกของเขาต้องกลับตาลปัตร เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสาวหัวรั้นที่ไม่เกรงกลัวที่จะต้องลุกขึ้นสู้กับเขา และยังสามารถเผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัวได้ด้วย จึงเป็นเรื่องสนุกที่ได้เห็นตัวละครสองตัวนี้ ได้เห็นความเป็นอริของทั้งคู่กระจายไปทั่ว"
Catherine Zeta-Jones ซึ่งเป็นผู้ให้เสียงพากย์แก่ Marina เห็นด้วย "Marina เป็นคนหัวรั้น ดังนั้นเธอกับ Sinbad จึงมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน แม้ว่าจะมาจากที่ที่แตกต่างกัน การโต้เถียงระหว่างสองคนนี้จึงเป็นการแสดงที่สนุกมาก เพราะมันจะไม่ใช่แค่บทพูดที่เป็นการทะเลาะกันระหว่างเจ้าหญิงกับจอมโจรเท่านั้น แต่ Marinaยังทุ่มเทสุดตัว พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ตลกมาก เพราะในความคิดของ Sinbad แล้ว เธอไม่ควรจะทำหรือพูดในสิ่งที่เธอได้พูดและทำออกมา"
"Catherine คือคนแรกที่เราเลือกให้มาพากย์ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ และเธอทำให้เราประทับใจมากกับการแสดงของเธอ" Johnson บอก "เราอิงตัวละคร บทพูด และการดีไซน์ภาพของ Marina จากการที่เราได้Catherine มารับบทนี้"
Zeta-Jones บอกว่าการที่เธอได้รับการเลี้ยงดูมาแบบนี้ช่วยให้เธอสามารถเข้าใจตัวละครตัวนี้ได้ "ฉันเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่เด็กผู้ชาย และได้ยินมาบ่อยมากว่าผู้หญิงไม่สามารถทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร แต่ฉันจะมีความรั้นอยู่ในตัวเล็กๆ และเชื่อว่าผู้หญิงสามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนที่เด็กผู้ชายทำกัน ฉันจึงเข้าใจ Marina ได้ดี ฉันหวังว่าเด็กสาวและผู้หญิงในทุกวัยคงจะสนุกไปกับ Marina เหมือนที่ฉันสนุกเมื่อได้เล่นเป็นเธอ เธอมีความสดใส ตลก ตรงไปตรงมา และเข้มแข็ง...ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันก็อยากจะปลูกฝังให้มีในตัวลูกสาวของฉันเช่นกัน"
ความพอใจที่ Catherine มีในบทบาทของเธอเอื้อประโยชน์ต่อ William Salazar ซึ่งเป็นซูเปอร์ไวเซอร์อนิเมเตอร์ให้กับตัวละครอย่าง Marina "เสียงของ Catherine สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นของMarina" Salazar บอก "ผมเองได้รับแรงบันดาลใจจากการแสดงของเธอ และยังใช้การเคลื่อนไหวและท่วงท่าของเธอเพื่อแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของ Marina ด้วย"
Sinbad ต้องเกิดความหวั่นเกรง เมื่อ Marina พิสูจน์ให้เห็นถึงความกล้าของเธอ และสามารถชนะใจลูกเรือได้ และยังได้รับการยอมรับนับถือจาก Kale ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของ Sinbad ซึ่งให้เสียงพากย์โดย Dennis Haysbert
"Kale เป็นผู้รับใช้ที่ใกล้ชิดที่สุดของ Sinbad" Haysbert บอก "เขาจะเป็นคนจัดการให้ลูกเรือเชื่อฟังคำสั่ง ถ้าเกิดมีความบาดหมางขึ้น ผมว่าแค่ Kale ปรายตามองเพียงเล็กน้อย อารมณ์บาดหมางจะสลายหายไปทันที แต่เขามีหน้าที่อยู่หลายอย่างด้วยกัน เขาเป็นนักรบที่คุณคงอยากอยู่เคียงข้างเมื่อต้องออกสู้รบ เขาเป็นเพื่อนที่ Sinbad สามารถไว้วางใจให้ระวังหลังให้ได้ และเขายังเป็นเสมือนจิตสำนึกของ Sinbad ที่คอยรั้งเขาไว้เมื่อเขาทำอะไรที่เกินเลยไป"
Brad Pittเ ห็นด้วย "นี่แหละคือปัญหา Sinbad เป็นพวกที่มีอีโก้ และบางครั้งอีโก้ของเขามันออกจะเกินเลยไปหน่อย เขาจึงต้องมี Kale ซึ่งเป็นเสมือนมือขวาของเขาคอยเตือนให้เขาเดินตรงไปข้างหน้า"
"ผมคงบอกไม่ได้หรอกว่ามันน่ายินดีแค่ไหนที่ได้ Dennis มาพากย์เสียงให้กับบทKale" Patrick Gilmore ให้ความเห็นไว้ "เมื่อเราเริ่มต้นทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง Kale คือคนประเภทเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง เขาทำทุกสิ่งที่ Sinbad ต้องการ จากนั้น พอ Dennis เดินเข้ามา และรับบทเป็น Kale ซึ่งเป็นเสมือนจิตสำนึกของ Sinbad เป็นเสียงเล็กๆ ที่ท้าทาย Sinbad ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ให้ทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อ Proteus เพื่อนของเขา รวมไปถึง Marina Dennis ได้มอบจิตวิญญาณ, ความมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และความเชื่อมั่นให้กับตัวละคร ทำให้บทของ Kale เหมือนได้รับการขยายออกไป มีอยู่หลายฉากที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเขาโดยอิงจากสิ่งที่ Dennisได้นำมาสู่บทนี้"
เมื่อตัวละครได้พัฒนาไป ทางทีมงานและซูเปอร์ไวเซอร์ อนิเมเตอร์ Bruce Ferriz ได้จัดการปรับเปลี่ยนงานออกแบบตัวการ์ตูนอย่าง Kale ให้เข้ากับการแสดงของ Haysbert มากขึ้น Gilmore อธิบายว่า "ตอนแรกKale จะเป็นผู้ชายตัวโตที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเราเริ่มฟังเสียงของ Dennis เราได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างกับตัวละครตัวนี้ ส่วนมากแล้วจะเป็นส่วนของการเคลื่อนไหวตัวของเขา Kale จะไม่กระโดดเข้าหาเรื่องวิวาท และกระโดดไปทั่วเพื่อป้องกันตัวเอง เขาจะแค่เดินเข้าไปกลางเหตุทะเลาะวิวาทและปลดอาวุธของคู่วิวาทอย่างใจเย็น และทิ้งร่างไร้สติเอาไว้เบื้องหลัง"
ลูกเรืออีกคนหนึ่งที่เกิดความชอบในตัว Marina ขึ้นมาทันที ก็คือ Rat ผู้มีลักษณะตรงกันข้ามกับ Kale เขาเป็นชายร่างเล็ก แข็งแกร่ง และถนัดกับการเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนตาข่ายมากกว่าที่จะยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ Ratให้เสียงพากย์โดย Adriano Giannini ซึ่งเป็นลูกชายของนักแสดงเจ้าตำนานอย่าง Giancarlo Giannini Tim Johnson กล่าวว่า "Adriano เดินเข้ามาพร้อมกับพลังมากเหลือ แม้ว่าจะต้องมาแสดงอยู่ต่อหน้าไมโครโฟนในห้องที่เย็นจัด แต่เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเขากระโดดจากเสาเรือต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง และห้อยหัวลงมาเพื่อเผชิญหน้ากับ Sinbad"
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น Sinbad รู้ดีว่าอย่างน้อยเขาก็สามารถไว้วางใจในเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์ นั่นก็คือ Spike สุนัขคู่ใจของเขาได้ Johnson บอกว่า "Spike จะอยู่เคียงข้าง Sinbad ในทุกการผจญภัยของเขา แต่เมื่อ Marina สาวสวยปรากฏตัวขึ้น มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะพบว่าเธอเป็นคนพิเศษ และ Spike ได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่สื่อแม่ชักให้กับทั้งคู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้"
"Spike และ Marina มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน" Zeta-Jones ยิ้ม "แม้ว่าความคิดที่ต้องมานอนอยู่กับ Spike อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในตอนแรก แต่ต่อมาพวกเธอได้พัฒนาจนกลายเป็นมิตรภาพที่ดีที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ Spike เองก็เช่นกัน มันเข้ามาครอบครองภาพยนตร์เรื่องนี้ ในฐานะของนักแสดง พวกเราอาจจะไม่พอใจมากนัก เพราะมันยากที่จะเอาชนะสัตว์ที่มีความสามารถมากขนาดนี้ ที่จริงแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ฉันเดินเข้าไปหา Brad Pitt และบอกเขาว่าฉันอยากแสดงภาพยนตร์กับเขาอีกสักเรื่องที่เราไม่ต้องแข่งขันกับ Spike"
ทีมงานทุ่มเทความคิดเพื่อตีโจทย์ให้แตกว่าสุนัขลักษณะแบบไหนที่จะเป็นสุนัขของ Sinbad Gilmoreกล่าวว่า "ตอนแรก Spike จะมีลักษณะเหมือนสุนัขพันธุ์อาคิตะที่ได้รับการดูแลขนอย่างดี มันสวยมาก แต่เราได้เห็นงานออกแบบ Spike แล้วพูดกันว่า 'ไม่ นี่ไม่ใช่หมาของ Sinbad' เราเลยย้อนกลับไปและได้พบกับคำบรรยายของทางสมาคมสัตว์เลี้ยงแห่งอเมริกาที่พูดถึงสุนัขบูลมาสติฟ พวกมันมีขนาดตัวใหญ่และมีกำลังมาก สุนัขพวกนี้สามารถสู้กับช้างได้ เราเลยบอกว่า 'ตกลง นี่แหละสุนัขพันธุ์ที่ Sinbad เลี้ยงเอาไว้ล่ะ'"
ในการให้เสียงพากย์กับตัวละครที่เป็นมนุษย์อาจใช้นักแสดงเพียงแค่คนเดียว แต่สำหรับเจ้า Spike นี้ ต้องใช้สุนัขอย่างน้อยถึง 8 ตัวมาร่วมกันแสดง โดยสองผู้กำกับเห็นพ้องต้องกันว่า "วันของสุนัข" เป็นขั้นตอนการบันทึกเสียงที่สนุกที่สุด "มันอาจจะเป็นวันบันทึกเสียงที่ถือว่ามันและคาดไม่ถึงมากที่สุด เรามีสุนัขทุกรูปทรงและขนาดมาให้เสียงพากย์กับ Spike เพราะมีการแสดงหลายแบบที่เราต้องการ ในหลายๆ ทาง Spikeอ าจจะมีบทพูดมากกว่านักแสดงที่เป็นคนบางคนในภาพยนตร์เรื่องนี้เสียอีก ดังนั้นมันจึงต้องใช้สุนัขถึง 8 ตัว ใช้เวลานานสี่ชั่วโมง และต้องใช้ชามใส่น้ำเยอะมากกว่าจะได้ในสิ่งที่เราต้องการเพื่อเป็นเสียงให้กับเจ้า Spike สุนัขตัวเดียวของเรา เพราะส่วนใหญ่แล้ว เทกที่ดีที่สุดมักถูกทำลายลงด้วยเสียงหัวเราะของเราเอง"
"สุนัขที่ผ่านการฝึกมาแล้วสามารถเห่าได้ตามคำสั่ง" Gilmore อธิบายเพิ่มเติม "มันส่งเสียงบ่น มันพึมพำ มันมีทุกเสียงที่จะนำตัวละครตัวนี้ให้มีชีวิตขึ้นมาได้ คุณน่าจะได้เห็นกลเม็ดที่เรานำมาเพื่อหลอกล่อให้เจ้าพวกหมาเหล่านี้สร้างสรรค์ชีวิตให้กับ Spike เราต้องทามายองเนสบนจานเพื่อให้พวกมันทำเสียงเลียแผล่บๆ เราให้ของเล่นมัน จากนั้นก็แย่งมันกลับมาเพื่อให้เกิดเสียงครางอย่างหงุดหงิด...โดยทั่วไปแล้วมันก็คือการเข้าไปนั่งอยู่ในห้องบันทึกเสียงเพื่อเล่นกับพวกหมาๆ เพื่อให้ได้เสียงต่างๆ ที่มีความหลากหลายที่Spikeทำ แต่มันเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจากวินาทีที่เราตัดสินใจกันว่า Sinbad จะต้องมีหมา เรารู้ดีว่าเราต้องการหมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูนที่เป็นคู่หูเท่านั้น ไม่ใช่หมาที่ให้เสียงโดยคน แต่เป็นหมาจริงๆ Spike ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูยอดเยี่ยมในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่มันต้องเป็นสิ่งที่สุนัขจริงๆ ที่ผ่านการฝึกมาสามารถทำได้ และต้องเป็นสุนัขของคนอย่าง Sinbad ด้วย"
ในบรรดานักแสดงสี่ขาที่มาให้เสียงพากย์เป็นเจ้า Spike นี้ มีสุนัขอยู่หนึ่งตัวที่รับบทนำในการเป็นต้นแบบเสียงและลักษณะท่าทาง นั่นก็คือเจ้า Harvey สุนัขพันธุ์บูลด็อกที่มาพร้อมใบหน้าที่นักวาดการ์ตูนหลงรัก Harvey ซึ่งเคยผ่านงานแสดงมาแล้วในภาพยนตร์อย่าง Batman และ I Love Trouble ได้รับการฝึกฝนจากนักฝึกสัตว์ชื่อดัง Bonner Nar ซึ่งเล่าว่า "ผมได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าพวกเขากำลังมองหาสุนัขตัวหนึ่งที่มีน้ำเสียงโดดเด่น และเรารู้ดีว่าต้องเป็น Harvey เราเลยนำมันเข้าห้องบันทึกเสียง และ Harvey ก็ขโมยซีนได้ตลอด มันทำเสียงเห่าได้หลายแบบ และเมื่อคุณเกาท้องให้มัน มันจะทำเสียงกรนออกมา ผมคงจะบอกว่ามันก็คือนักแสดงสี่ขาใน Marlon Brando เพียงแต่มันไม่ค่อยพูดเท่านั้นเอง แต่เมื่อมันพูด มันย่อมมีความหมายเสมอ" Nar หัวเราะ
Nar ยังบอกอีกว่าคนดูจะต้องมองเห็นถึงความเป็น Harvey ในตัวเจ้า Spike เมื่อทีมนักวาดการ์ตูน ที่นำทีมโดย Serguei Kouchnerov ได้ใส่ลักษณะสีหน้าของ Harvey ลงไปพร้อมกับเสียงของมันด้วย "พวกเขาเข้าใจในความอยากรู้อยากเห็นของมัน อย่างเช่นวิธีที่มันยกหัวตั้งขึ้น ดังนั้น ถึงแม้จะมีการใช้หมาหลายตัวในการสร้าง Spike ขึ้นมา แต่โดยหลักแล้วก็คือ Harvey นี่แหละ"
|