Home Shop Mag'z Member Basket Thai / English Site Map
Webboard Book Toy Music Movie
Music
  >  home >  music >  Report > 
    40 Years of SKAแหล่งที่มา :text by Yayeeeee
yayeeeeee@hotmail.com
หนังสือ Sound Mag / 2003
40 Years of SKA
When : 31 พฤษภาคม 2546
Where : The Esplanade Hotel, Melbourne, Australia

และแล้วคืนหนาวๆ วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาผมก็เข้าไปร่วมในเหตุการณ์จนได้ คอนเสิร์ตครบรอบ 40 ปี ดนตรีสกา (Ska) เป็นเหมือนเช่นทุกครั้ง คือ ลุยเดี่ยว เพื่อนฝูงไม่เอาด้วย ไม่รู้เป็นไร หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทางดนตรีที่เมลเบิร์นไม่ได้สักที อยู่มาก็จวนจะปีครึ่งแล้วเนี่ย ไอ้ผมมันไม่สนอยู่แล้ว ยังไงคนเดียวก็ลุย งานจัดที่ในโรงแรม แต่อย่าเพิ่งไปจินตนาการถึงโรงแรมหรูหราอย่างโรงแรมโอเรียลเตลอะไรทำนองนั้น สภาพโรงแรมออกแนวจิ้งหรีดบ้านเรานี่เอง แต่บรรยากาศโรงแรม The Es-planade (Espy พี่ออสซีแกเรียกอย่างนี้) ซึ่งโรงแรมจะมีหลายห้องและแต่ละห้องจะเล่นดนตรีแตกต่างแนวกันไป ในโรงแรมจะแน่นขนัดไปด้วยหนุ่มสาวออสซีซึ่งมาหาความสำราญทางดนตรี บ้างก็มาจ้องหรือจับตามอัธยาศัย

ส่วนผมส่วนใหญ่จะเน้นจ้องแต่ไม่สัมผัส กลับมาเข้าเรื่องต่อ ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าสถานที่แสดงดนตรีในเมลเบิร์น แบ่งออกได้สัก 3 ประเภทดังนี้ พวกแรกจะเป็นพวกวงระดับโลกส่วนใหญ่ก็จะจัดตามสนามกีฬาในร่ม ก็คงประมาณสนามอินดอร์หัวหมากนั่นเอง ส่วนที่นี่คือ Lod Raver Arena ซึ่งคอนเสิร์ต Roger Waters ผมก็ดูที่นี่ หรือมหกรรมดนตรี Livid ปีที่ผ่านมาก็ที่นี่เช่นกัน ราคาบัตรอย่างต่ำก็ประมาณ 90 กว่าเหรียญดอลลาร์ออสซีเอง คิดเป็นเงินไทยก็ล่อไปซะประมาณ 2,500 บาทโน่น แพงฉิบห...

แต่ถ้าเป็นวงโปรดให้แพงอย่างไรผมสู้อยู่แล้ว อดมื้อกินมื้อก็ยอม วงที่ดังขนาดย่อมมาหน่อยก็จะจัดตามโรงแรมและบาร์ขนาดใหญ่ เช่น Espy, The Palace ฯลฯ ค่าตั๋วก็จะอยู่ประมาณ 40 เหรียญดอลลาร์ออสซี คอนเสิร์ตครบรอบ 40 ปี เข้าในข่ายนี้ ก็เป็นเพราะกลุ่มคนฟังเพลงสกาไม่ใหญ่มากนัก แต่ต้องยอมรับว่าพวกนี้แฟนเหนียวแน่นจากบรรยากาศในคืนนั้น

ส่วนถ้าเป็นวงท้องถิ่นที่กำลังสร้างชื่อเสียงก็จะเป็นบาร์ขนาดเล็กอย่าง The Tote และอื่นๆ ซึ่งวงที่ต้องการหาเวทีแสดงจะต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองฝีมือ (Audition) ก่อนจะได้ขึ้นเล่นจริง วงดนตรีที่ดังๆทุกวงผ่านขั้นตอนเหล่านี้เช่นกัน วงที่ฝีมือดีๆก็จะได้เล่นในคืนวันศุกร์หรือเสาร์ ราคาค่าเข้าประมาณ 10 เหรียญนิดๆ ก่อนจะสาธยายเรื่องคอนเสิร์ต

ผมต้องออกตัวก่อนว่าผมมิใช่แฟนสกาพันธุ์แท้ เพียงแต่ชอบแนวดนตรีสกาซึ่งสาวออสซีที่พูดคุยด้วยในคืนนั้น เธอนิยามว่าเป็น “Funny Music” ก็จริงอย่างเธอว่า มันสนุกจริงๆสำหรับการเล่นสด ต้องขอขอบคุณวงทีโบนของพี่แก๊ปที่ทำให้ผมได้รู้จักสกาก็อัลบัมคอนเสิร์ตของทีโบน (ผมจำชื่ออัลบัมไม่ได้ แต่มีโจอี้บอยแจมด้วย และมือเบส Sepia) พี่แกเล่นสกาได้มันส์มาก ทีโบนนี่แหละทำให้ผมรู้จัก Madness และ The Special ก่อนมาอยู่ออสเตรเลีย พอมาที่นี่ก็ได้รู้จัก Area 7 ซึ่งเป็นสกายุคใหม่ ที่เพลงของพวกเขามีทั้งสกา ร็อค และพังก์ ถือว่าเป็นวงดังของที่นี่ Area 7 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยู่ที่นั่นในวันนั้น เพราะนักร้องนำมาแจมด้วยในคืนนั้น

การแสดงคร่าวๆ ก็ประกอบด้วยวงดนตรี 3 วงหลัก แล้วปิดท้ายด้วยหมัดเด็ด Melbourne Ska Orchestra ที่โฆษณาว่ามีเครื่องดนตรีร่วมบรรเลงถึง 30 ชิ้น น่าสนใจจริงๆว่าจะเด็ดขนาดไหน ยิ่งใบประกาศโฆษณายิ่งทำให้ผมยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ สงสัยแรกคือ ค่าบัตรแค่ 15 เหรียญเอง ถูกมากสำหรับโชว์มากขนาดนี้ ซึ่งพลาดไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนสงสัยที่สอง ถ้าใส่สูทผูกไทจ่ายถูกลงไปอีก แค่ 12 เหรียญ งงไปใหญ่เพลงแอฟริกันสนุกๆแบบนี้เนี่ยนะต้องแต่งตัวเป็นทางการอย่างนั้นเชียว ก็เก็บเป็นข้อสงสัยไว้ ถึงยังไงผมก็ไม่ใส่ เพราะเขินที่ต้องหล่อเดียวดายปราศจากสหายติดตาม

ถึงแม้ผมเองจะมีทั้งสูทและไทก็ตาม ผมตั้งใจขนมาจากเมืองไทยกะเอามาเพื่อใช้ในการพรีเซนต์รายงาน แต่มันยังไม่เคยออกมาจากถุงมาสัมผัสอากาศออสเตรเลียเลย ก็เพราะวัฒนธรรมประเทศนี้มันไม่เป็นทางการเอาซะเลย พรีเซนต์รายงานยังได้เลย

โชคดีที่มีรถขับ ไปถึงแล้วก็พยายามหาที่จอดรถแบบไม่เสียตังค์เพราะตังค์ไม่ค่อยมี อาทิตย์หน้าก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้องแล้ว แต่โชคร้ายก็คือไม่มีของฟรีในคืนนั้น เสียไปทั้งหมดก็ 6 เหรียญ แพงฉิบเช่นเดิม แต่ยังไงถ้าเทียบกับค่าปรับจากการไม่หยอดมิเตอร์ 100 เหรียญเมื่อสองเดือนก่อนแล้วถูกมาก ถึงหน้างานก็ 8:45 ตามเวลาที่วงแรกจะแสดงตามตารางเวลา แต่เจ้าหน้าที่ว่าเลื่อนเป็น 9 โมง เอาล่ะสิ

คุณรู้ไหมไอ้ข้อสงสัยที่สองมันทำให้ผมต้องยืนเก้ๆกังๆ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้าห้องน้ำไปตัดมือทิ้งดีไหมเนี่ย ไม่รู้จะวางมันไว้ตรงไหนถึงจะดูดี ก็เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่หนุ่มในชุดสูทและไทกับสาวในชุดสวย ไอ้เรามันล่อกางเกงยีนส์ Lee ผ้าด้านบวกกับรองเท้าจับกังอย่างเท่ Red Back (รองเท้าหนังหุ้มข้อที่พวกช่างไฟฟ้าและประปาออสซีนิยมใส่) เป็นส่วนผสมที่ทำลายความมั่นใจได้เป็นอย่างดี ก็มาถึงบางอ้อในภายหลังจากการพูดคุยกับคนในงานว่า มันเป็นแฟชั่นที่เขาเรียกว่า “Rude Boy” ช่วงปลายทศวรรษ 70s ซึ่งสกาในยุคนั้นเป็นยุคที่สองเรียกว่า “Two Tone” ชื่อนี้คือชื่อค่ายเพลงที่ Madness และ The Special ออกอัลบัมแรกด้วยนั่นเอง ต้นตำรับแฟชั่นที่ถูกต้องคือ สูทสีดำ, เนกไท และหมวก pork pie hats

หลังจากยืนรอไปเกือบครึ่งชั่วโมง ความเครียดก็บรรเทาทันทีด้วยการออกมาของวงแรก นาม Trojans Horns ซึ่งแค่เพลงแรกของพวกเขาในแนวดนตรีสกาก็ทำให้คนเต้นกันแล้ว ฝรั่งนี่เขาอยากทำอะไรก็ทำเลยไม่มีเขิน อยากเต้นก็เต้นเลยไม่มียึกยัก ต่างจากชาวไทยอย่างผมที่เริ่มต้นด้วยการขยับท่อนหัวก่อนเป็นการหยั่งเชิง แต่ต้องยอมรับว่านิยาม “Funny Music” มันถูกต้องจริงๆ Trojans Horns เป็นวงเมลเบิร์น ประกอบด้วยสมาชิก 9 คน เป็นเพื่อนที่ร่วมวงกันมาแต่สมัยเรียนดนตรีด้วยกัน เป็นวงที่มีเครื่องเป่า 4 ชิ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของสกาซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากแนวเพลงแจ๊ซ ได้แก่ แซกโซโฟน, เทอเนอร์แซกโซโฟน, ทรอมโบน และทรัมเปต ส่วนที่เหลือก็เป็นเครื่องดนตรีพื้นฐานอย่างกีตาร์, เบส, กลอง และคีย์บอร์ด นอกนั้นก็มีเพอร์คัสชัน ซึ่งเล่นโดยนักร้องนำของวงดนตรีเป็นแนวสกายุคใหม่ที่ริธึมของกีตาร์และเบสนำเสนอความสนุกสนานของสกาได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วยเมโลดีฮุกที่ลงตัวของเครื่องเป่า

แต่เสน่ห์ของเพลงคือการเปลี่ยนจังหวะที่น่าสนใจเป็นครั้งคราวซึ่งสร้างให้เกิดอารมณ์เพลงสนุกที่แตกต่างในเพลงเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากวงนี้ แต่สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างจากวงนี้คือ สาวแซกโซโฟน หน้าตาน่ารักสดใสที่เล่นไปสักพักก็ปลดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามและเต้นเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกันกับหนุ่มเครื่องเป่าอีกสองคน นี่คือเสน่ห์ที่สำคัญที่ผมสัมผัสไม่ได้ด้วยมือ Trojans Horns จบพร้อมกับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง

ระหว่างช่วงพักเปลี่ยนวงผมสังเกตได้ว่าผู้ชมเริ่มทยอยเข้ามามากกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่รอการแสดงของวงถัดไปคือ 99% FAT ซึ่งเป็นวงเมลเบิร์นวัยรุ่นที่เล่นสกาผสมร็อคและพังก์ บอกตามตรงว่าผมยืนดูตอนพวกเขาเซ็ตเครื่องดนตรีแล้วไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาจะแต่งเพลงที่มีลูกเล่นน่าสนใจได้ดีขนาดนั้น ดูจากหน้าตาอายุก็น่าจะอยู่ประมาณ 18 -19 เท่านั้น อีกทั้งการเล่นดนตรีสดของพวกเขาเรียกความสนุกสนานได้ดีกว่าวงแรกมาก

สังเกตได้จากการขยับของเอวและไหล่ไปตามจังหวะเพลงตามหลังหัวที่เคลื่อนไหวไปก่อนหน้ากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ผู้ชมที่จริงๆแล้วควรเรียกว่าแฟนเพลงมากกว่า เพราะร้องเพลงตามและร่วมสนุกตามได้อย่างถูกต้องตามช่วงเพลงเหมือนผ่านการดูคอนเสิร์ตของ 99% FAT มามากครั้งกว่าผม แถมไม่ยอมให้ 99% FAT ลงจากเวทีง่ายๆ เรียกร้องจนต้องร้องต่อถึง 3 เพลง คงต้องหาฟังกันเอาเองแล้วนะครับว่าเพลงของพวกเขาเป็นอย่างไร ลืมบอกไปว่าวง 99% FAT เขาจะมีตัวนำโชค ชื่อว่า Captain Manboob มาในชุดผ้าคลุมเหมือนแบตแมน เพียงแต่เป็นสีส้มดูเล่นต๊องๆ Captain Manboob เป็นที่รู้จักกันดีว่าจะต้องออกมาปรากฏตัวบนเวทีทุกครั้งโดยไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงเขาคือใคร

การปรากฏตัวของเขาเรียกเสียงฮาได้เป็นอย่างดี ส่วนเป็นเอกลักษณ์ของวงอีกอย่างก็เห็นจะเป็นมือคีย์บอร์ดที่เป่าทรัมเปตด้วยนั่นแหละ ตานี่แกจะคอยเปลี่ยนแว่นตากวนๆ อันใหม่ทุกเพลง ดูก็ขำดีเหมือนกัน ซึ่งโดยรวมต้องขอยกนิ้วให้ 99% FAT สำหรับการแสดงบนเวทีครับ เยี่ยม

เว้นช่วงเวลาไปประมาณ 15 นาทีก็เป็นตาของ Basta Mento วงนี้มาแปลกเป็นดนตรีสี่ชิ้น ได้แก่ กีตาร์โปร่ง, ทรัมเปต, ดับเบิลเบส และกลองบองโก เห็นแล้วแปลกใจมากว่ามันจะสร้างความสนุกสนานได้ขนาดไหนกันเชียว ซึ่งจริงๆแล้วชื่อของวงมันบอกคร่าวๆแล้วว่า พวกเขานิยามตัวเองว่าเป็นส่วนผสมของ Calypso และ Mento ซาวน์ดจะออกไปทางแคริบเบียน ซึ่งจะคล้ายๆกับเรกเก

อันที่จริงแล้ว Mento ซึ่งเป็นชื่อแนวดนตรีลูกครึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากจังหวะดนตรีแอฟริกันและรวมเข้ากับเมโลดีของทางยุโรป จะใช้เครื่องดนตรีอะคูสติกเป็นหลัก อารมณ์เพลงของพวกเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสองวงแรกซึ่งเป็นสกาชัดเจน ซาวน์ดเพลงของ Basta Mento กระเดียดไปทางเรกเกซะมากกว่า แต่การขยับของจังหวะก็ทำให้ผู้ชมขยับได้อยู่ดี ถึงจะไม่รู้สึกสนุกมากเท่าสองวงแรก แต่จากดนตรีที่พวกเขาเล่นออกมาด้วยเครื่องดนตรีเพียงสี่ชิ้นมันบ่งบอกถึงความเก๋า ลูกเล่น และประสบการณ์ที่เหนือชั้นกว่า ซึ่งสังเกตจากหน้าตาของสมาชิกแต่ละคนก็พอจะเดาได้ถึงวัยวุฒิ นักร้องนำเป็นคนเล่นกีต้าร์ด้วย หน้าตาดูจะเป็นทางจาไมกา ด้วยทรงผมเดรดล็อก

ช่วงเด็ดก็เป็นช่วงโซโลเครื่องดนตรีทีละชิ้น ผมชอบลีลาทรัมเปตครับ แกเป่าอย่างกับไมลส์ เดวิส ชอบจริงๆ แต่ที่ผู้ชมสนุกสนานก็จะเป็นช่วงเดี่ยวดับเบิลเบส นักร้องนำแกคว้าไม้กลองมาเคาะสายเบสแทนการดีดของมือเบส มือเบสก็เล่นและเปลี่ยนตำแหน่งกดสายเบสไป ส่วนนักร้องนำก็เคาะสายเบสตามจังหวะการเล่นไปเรื่อย ดูแล้วหรรษาดี

จบจาก Basta Mento ต้องรอเบรกนานหน่อยประมาณ 20 นาที เพราะต่อไปเป็นรายการสำคัญของงาน Melbourne Ska Orchestra พร้อมเครื่องดนตรีร่วมบรรเลง 30 ชิ้น ที่เยอะก็จะเป็นพวกเครื่องเป่าทองเหลือง ซึ่งเป็นการแจมของนักดนตรีที่เป็นสมาชิกของวงสกาเมลเบิร์น ซึ่งได้แก่ ทรัมเปต และ แซกโซโฟนจาก 99% FAT, แซกโซโฟนสาวขวัญใจของผมจาก Trojan Horns, พี่ทรัมเปตสไตล์ไมลส์ เดวิส จาก Basta Mento นอกจากนี้ก็เป็นสมาชิกจาก Area 7, Bomba, Commis-sioner Gordon, Oiska, Red Sand Shuffle, Skazz, Strange Tenants และ Loin Groin บรรยากาศสนุกสนานและเป็นกันเองมาก เหมือนกับเป็นการนัดเลี้ยงรุ่นยังไงยังงั้นเลย

เพราะนักดนตรีทุกคนรู้จักกันหมดและสนุกสนานเฮฮา อีกทั้งยังเล่นเพลงสกาสนุกๆ อีก เลยไปกันใหญ่ ควบคุมวงดนตรีออร์เคสตราแบบนี้ที่ขาดไม่ได้ก็คือวาทยากรนั่นเอง และเขาก็คือ นักร้องนำอารมณ์ดีจาก Basta Mento นั่นเอง เขาทำหน้าที่ได้ดีมาก มีการขอให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับเพลงด้วย ผู้คนกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ในขณะที่ความสนใจของผู้คนอยู่บนเวที ก็จะมีกลุ่มทอมบอยออสซีข้างๆผม ไม่รู้เป็นบ้าอะไร ทะเลาะ ตบตี ถุยน้ำลายใส่หน้ากัน (ผ่านหน้าผมไปมา) ผมเลยต้องตัดสินใจหลบฉากถอยหลังไปเต้นต่อโดยไปสนใจใดๆทั้งสิ้น ก็ผมจะมาดูดนตรี ไม่ใช่มาดูมวย อย่าไปสนใจเลยกลับมาดูดนตรีต่อ โชว์ก็จะเป็นการเล่นเพลงสกาคลาสสิก ซึ่งเป็นเพลงเก่าทั้งสิ้น ก็จะมีทั้งของวงออสซีและอื่นๆ ซึ่งผมจะไม่ค่อยรู้จัก แต่ยังไงก็ยังเต้นอยู่ดี ดนตรีแน่นและหลากหลายมาก เพราะเครื่องดนตรีเยอะขนาดนี้ ประสานเสียงออกมาแล้วเพราะมาก แถมสลับด้วยการเดี่ยวเครื่องเป่าแต่ละชิ้น บันเทิงสุดๆ

ช่วงที่ดีอีกช่วงก็เป็นการเล่นเพลงของ Area 7 ที่มีนักร้องนำของวง Area 7 ทำหน้าที่ขับกล่อม ผู้ชมดิ้นและร้องตามกันระเบิดเถิดเทิง แต่ผมร้องไม่ได้ แต่กลับดิ้นด้วยความรุนแรงมากกว่าเดิม พร้อมการขยับของขาด้วย (ตอนนี้ขยับทั้งตัวแล้ว) นอกจากนี้ก็มีแขกรับเชิญมาจากจาไมการ้องเพลงของ Bob Marley, มือกลองและมือกีตาร์รับเชิญ จากวงอะไรไม่ทราบ สลับเปลี่ยนกันขึ้นมาทำหน้าที่กันตามลำดับ

ทั้งคืนเท่าที่เห็นก็มีผมอยู่คนเดียวแหละที่หน้าตาหล่อแบบเอเชีย สาวฝรั่งข้างๆ ผมไม่แน่ใจว่าเธอสนใจในความหล่อแบบสามัญชนของผมหรือสงสารในชะตากรรมที่ต้องดิ้นอย่างไร้เพื่อนฝูง อันนี้มิอาจทราบได้ แต่เธอถามผมว่าสนุกไหม “Do you have a good time?” แต่พอหันไปมองในระดับความมืดซึ่งน่าจะทำให้ผู้หญิงดูดีขึ้นแสงรำไรขนาดนั้น ผมก็เพียงตอบสั้นๆ ให้กับความงามระดับสามัญชนของเธอสั้นๆว่า “Yes” พร้อมรอยยิ้มงามๆ ตามแบบฉบับชาวสยามไปหนึ่งครั้งพร้อมการสนทนาสั้นๆ เพราะความดังระดับนั้นต้องใช้พลังปอดอย่างมากเลยทำได้ดีที่สุดเท่านั้น

พอหันกลับมาอีกทีเธอพร้อมสมุนสาวๆก็หายหัวหมดแล้ว แห้วกันต่อไป คืนนั้นการแสดงจบหลังจากอังกอร์ 2 เพลง เวลาประ-มาณ ตีหนึ่งเศษๆ รวมเบ็ดเสร็จ 4 ชั่วโมงแห่งความสุข แถมความทุกข์จากอาการปวดขาเพราะการยืนเต้นตลอดเวลา 4 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้จ่ายไปด้วยราคา 21 เหรียญ (ตั๋ว 15 เหรียญ และค่าจอดรถ 6 เหรียญ) ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะชีวิตนี้จะได้มีโอกาสดูดนตรีสกาดีๆแบบนี้คงเป็นไปได้ยาก

ขอบคุณพ่อแม่ที่ส่งมาเรียนแต่กลับสนใจดนตรีมากกว่าการเรียน ดนตรีดีๆ หลากหลายแนวในเมลเบิร์นยังมีอีกเยอะ ถ้าอยากฟังก็บอกผ่านทางท่านบอกอมาละกัน จะได้เล่าให้ฟังอีก... ชอบอยู่แล้ว

หาข้อมูลเพิ่มเติมของ วงดนตรีในงานได้จาก
www.trojanhorns.live.com.au
www.99fat.live.com.au
www.alphalink.com.au/~magmusic/bustamento.htm

  • สินค้าที่เกี่ยวข้อง
    คลิกดูรายละเอียด

  •  

    Top
    E-Mail

    Password


    Community
    Activity
    Photo Contest
    Bey Blade
    Cartoon 9
    Chat Room
    D-3
    D-Terminal
    D-Power
    Digimon
    Download
    Market Place
    Micro pet
    Quiz
    Can not select dB