Slash and Velvet Revolver อีกหนึ่งซุเปอร์กรุปของปีนี้
หากเพลง Set Me Free จะเป็นที่คุ้นหูของผู้คนทั่วไปในช่วงนี้ ก็คงต้องขอบคุณต่อหนังซุเปอร์ฮีโรฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่อย่าง The Hulk ที่มอบโอกาสให้เพลงที่เปี่ยมความหมายเพลงนี้ได้ปรากฏตัวอยู่ในหนังด้วย และที่สำคัญมันจะเป็นซิงเกิลแรกของวงดนตรีหน้าใหม่อย่าง Velvet Revolver ที่นักร้องนำของวงอย่างสกอตต์ วีแลนด์กำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีมียาเสพติดอยู่ในครอบครอง คำถามมีอยู่ว่าวีแลนด์จะได้ย้ายเข้าไปนอนในคุกหรือเปล่า แล้วเพื่อนร่วมวงของเขาอย่าง สแลช, ดัฟฟ์ แมกเคแกน และแมตต์ ซอรัมจะทำอย่างไรบนเวทีกันล่ะ ต้องไปลากเพื่อนเก่าที่ชื่อ แอกเซล โรส มาร้องแทนหรือเปล่า? แล้ววงเก่าของวีแลนด์อย่าง Stone Temple Pilots ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? แต่เหนือสิ่งอื่นใด แล้วไอ้วง Velvet Revolver นี่มันเป็นใครมาจากไหนกันล่ะ?
โอกาสแรกของการให้สัมภาษณ์ร่วมกันในฐานะเพื่อนร่วมวงในครั้งนี้ วีแลนด์ และ สแลช ก็จะตอบทุกข้อสงสัยข้างต้นเหล่านั้น และที่สำคัญยังมีอะไรอีกมากที่คุณไม่รู้ แต่พวกเขาอยากจะบอกคุณ
สแลช คุณต้องคัดเลือกนักร้องนำของวงจากคนตั้งมากมายที่มาทดสอบ นับตั้งแต่โจชัว ท็อดด์ จาก Buckcherry, เซบาสเตียน บ๊าก จาก Skid Row, เคลลี เชเฟอร์ จาก Neurotica แล้วก็นักร้องนำ ของ Days of the New ด้วย Slash : เออใช่ว่ะ ตกลงไอ้หมอนั่นมันชื่ออะไรกันแน่ว่ะ? (หัวเราะ)
คุณจำชื่อนักร้องนำของ Days of the New ไม่ได้จริงอะ Slash : ผมจะไปจำชื่อพวกมันทุกคนได้ยังไงกันวะ เดี๋ยวก่อนพวก ใช่แล้ว มันชื่อ ทราวิส มีกส์ มีคนตั้งมากมายเข้ามาทดสอบกับพวกเรา หลายคนก็สุดยอดจริงๆเลยว่ะ ไม่มีข้อติใดๆเลย
แล้วที่มาของชื่อวงล่ะ มันเริ่มจากชื่อ the Project แล้วเป็น Reloaded สุดท้ายก็กลายเป็น Velvet Revolver ใช่ไหม Slash : The Project นี่เป็นชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกวงเรากันไปเองน่ะ ผมว่ามันน่าจะเริ่มมาจากในอินเตอร์เน็ตนะ จริงๆมันก็เป็นชื่อที่ใช้ได้นะ ส่วน Reloaded เป็นชื่อที่พวกเราเคยคิดไว้เหมือนกัน แล้วสักพักไอ้สกอตต์มันก็ไปบอกนักข่าวเรื่องชื่อนี้ แต่จริงๆตอนนั้นเรามีชื่ออื่นอยู่ในหัวด้วยนะ Revolver คือหนึ่งในนั้น แล้วไอ้สก็อตต์อีกนั่นแหละที่ออกไอเดียว่าน่าจะเติมคำว่า Velvet ลงไปข้างหน้านะ ผมคิดในใจตอนนั้นว่า แม่ง! ใช่เลยว่ะ
แล้วความหมายของมันล่ะ Slash : ทุกๆคนสามารถตีความมันไปได้ตามใจคิด คำว่า Revolver ก็มีความหมายเฉพาะบางอย่างกับผมเหมือนกัน แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ
อย่างเช่นอะไรล่ะ? เส้นทางหมุนเวียนสมาชิกในวงหรือเปล่า Slash : ประมาณนั้นแหละพวก มันเหมือนกับการเกาะกลุ่มกันนะ พอสกอตต์มันเติมคำว่า Velvet เข้าไปมันก็สมบูรณ์สุดๆ มันให้ความรู้สึกแบบเดียวกับตัวเขาน่ะ
สกอตต์ นี่จะเป็นวงถาวรของคุณเลยหรือเปล่านี่ ยังมีเรื่องของ STP (Stone Temple Pilots) อีกมากมายเลยนะที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ Weiland : STP ไม่เคยแตกวงกันเลยนะ พวกเราแค่อยากมีเวลาเพื่อแยกกันไปทำงานในแบบที่แตกต่างออกไปบ้าง พวกพี่น้องเดอลีโอ ก็กำลังทำงานใหม่ของพวกเขาอยู่ ส่วนเอริกก็กำลังก่อตั้งห้องอัดของตัวเองอยู่... พวกเราทำงานกันมากว่าสิบปี มีอัลบัมออกมาแล้ว 5 ชุด และขายไปตั้ง 25 ล้านชุดทั่วโลก พวกเราแค่รู้สึกอยากจะหยุดพักบ้างแค่นั้นเอง พอดีช่วงนั้นผมสนิทกับดัฟฟ์และเขาก็ถามผมว่าสนใจจะมาลุยด้วยกันไหม ก็แค่นั้นเอง
คุณตอบตกลงทันทีเลยหรือเปล่า หรือว่ากลับไปใช้เวลานั่งคิดก่อน Weiland : สิ่งเดียวที่ผมสนใจก็คือ ผมอยากรู้ว่าเพลงของวงนี้มันจะออกมาเป็นอย่างไร ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักร้องนำคนใหม่ของ Guns N Roses หรอกนะ
คุณยังจำครั้งแรกที่คุณฟังงานของ Guns N Roses ได้หรือเปล่า Weiland : ตอนนั้นผมอายุสัก 19 เห็นจะได้และเพิ่งย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่ผม และเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกด้วย ผมเล่นอยู่ในวงที่ผมกับเพื่อนๆตั้งมันมาตั้งแต่ผมอายุ 15 พวกเราออกเดินทางกันเพื่อไปดูพวกเขานะ ตอนนั้นผมอยู่ที่ฮันทิงตัน บีช (แคลิฟอร์เนีย) พวกเราต้องขึ้นเหนือไปฮอลลีวูดเพื่อดูพวกเขาที่ผับชื่อสครีม และพวกเรายังไปดู Janes Addiction เล่นด้วย 2 วงนี้น่าจะเป็นวงที่มีอิทธิพลต่อการเป็นนักดนตรีของผมสูงที่สุดแล้วนะ
แล้วมีเพลงไหนบ้างไหม ที่คุณประทับใจเป็นพิเศษ Weiland : เพลงของ Guns N Roses ที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็น Its So Easy (จากอัลบัม Appetite for Destruction) นะ
แล้ว Velvet Revolver จะเล่นเพลงของ Guns N Roses บ้างไหมเวลาออกทัวร์ Weiland : ผมบอกคุณตามตรงเลยนะ ว่ามันจะมีเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับเพลงของ Guns N Roses และ STP ในโชว์ของเราแน่ๆ ทุกคนจะต้องร้องว่าสุดยอดแน่นอน
เวลาคุณร้องเพลงของ GNR ในระหว่างซ้อม คุณเคยพยายามทำให้มันต่างออกไปจากที่แอกเซล เคยทำไว้หรือเปล่า Weiland : คุณจะบอกว่าผมเข้าไม่ถึงการเป็นแอกเซล เพราะผมไม่ได้ใส่วิกผมเหมือนเขาใช่ไหม(หัวเราะ) จริงๆแล้วนี่ผมไม่เคยมีอคติกับแอ็กเซลเลยนะ ผมหวังว่าเขาจะทำงานดีๆออกมาอีกเพราะเขาเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ และที่สำคัญดูเหมือนว่าเขาจะก้าวข้ามชีวิตเส็งเคร็งแบบที่ไบรอัน วิลสันเคยเจอได้แล้วนะ
สแลช ตอนนี้คุณเจอนักร้องนำที่เจ๋งที่สุดนับจากยุคของแอกเซลเลยนะ Slash : ถูกเผงเลยว่ะ สกอตต์นี่แหละคือคนแบบที่ผมมองหาเมื่อตอนผมเริ่มโปรเจกต์นี้เมื่อซัก 8 เดือนที่แล้วนะ เขาเป็นคนแรกเลยนะที่ผมคิดได้ เมียของเขากับเมียของดัฟฟ์รู้จักกันมาก่อน และทุกคนในวงยกเว้นผมต่างก็เคยรู้จักสกอตต์มาก่อนทั้งนั้น พวกเราเลยตกลงกันว่าไอ้หมอนี่แหละน่าจะเจ๋งที่สุด พวกเราเลยส่งเทปเพลงที่พวกเราทำไว้ 4 เพลงไปให้เขา และเขาก็ชอบเพลงพวกนั้นด้วย แต่เขายังไม่ได้ออกจาก STP ก็แค่นั้นเอง
แล้วสกอตต์มาร้องเพลงให้พวกคุณได้อย่างไรล่ะ Slash : ประมาณกุมภาพันธ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พวกเราต้องทำเพลงใส่ในหนังถึง 2 เรื่อง ทุกอย่างมันยุ่งเหยิงไปหมด และเราต้องการใครสักคนมาร้องเพลงพวกนั้น ช่วงนั้นสกอตต์ก็ว่างจาก STP อยู่พอดี เราก็คิดแบบว่ายังไงเสียพวกกูก็ต้องทำเพลงออกมาให้ได้ละวะ พวกเราเลยเรียกเขาให้มาร้องคัฟเวอร์เพลง Money สำหรับหนังเรื่อง The Italian Job แต่เรายังมีวัตถุดิบเหลืออีกมาก เราเลยเลือกมาเพลงหนึ่งและให้เขาเขียนเนื้อร้องให้ และมันก็กลายมาเป็น Set Me Free ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง The Hulk ตอนที่สกอตต์มาเจอกับเรา เขาไม่มีท่าทางเกร็งหรือเคอะเขินเลยนะ เขามาที่ห้องซ้อมของพวกเรา แล้วก็เดินขึ้นไปร้องเพลง มันโคตรจะธรรมชาติเลยว่ะ
แต่ใครๆก็ยังคงมองว่าสกอตต์เป็นแค่หนึ่งในกลุ่มร็อคสตาร์ที่พ้นยุคของเขาไปแล้ว เรื่องนี้เคยทำให้พวกคุณกังวลกันหรือเปล่า Slash : ชื่อผมก็ถูกรวมในกลุ่มนั้นมานานแล้วเหมือนกันนะ ผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพรรณนั้นหรอกนะ แค่ผมรู้ว่าเรามีหลายอย่างที่ตรงกันกับเขา (วีแลนด์) อย่างเรื่องชอบเสพยาเป็นต้นนะ มันก็แบบว่า เฮ้! เอาไอ้หมอนี่มาร่วมวงเราเถอะ แล้วก็ออกไปลุยกันเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพื่อน
คุณคิดว่าสกอตต์จะต้องทำได้แน่ๆใช่ไหม Slash : ใช่แล้ว ผมโคตรมั่นใจเลยว่ะ
แล้วพวกคุณเซ็นสัญญากับสังกัดไหนหรือยังเนี่ย Slash : ยังไม่ได้คิดเลย พวกเรามักจะวางแผนทำกันทีละขั้นนะ พวกเราจะบันทึกเสียงกันให้เสร็จก่อน ซึ่งมันเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับวงของเรา แล้วค่อยไปเลือกว่าจะเอายังไงกันต่อดี
พวกคุณจะเริ่มบันทึกเสียงกันในเดือนกันยายนตามแผนเดิมหรือเปล่า หรือจะรอแค่ให้ศาลตัดสินคดีของสกอตต์ (11 กรกฎาคม) แล้วค่อยว่ากันใหม่ Slash : มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก เราแค่ยังไม่ได้กำหนดวัน (ที่จะเริ่มบันทึกเสียง) ที่แน่นอนเท่านั้นเอง ถ้าทุกอย่างลงตัวก็คงไม่เกินกันยายนนี้แหละ พวกเราก็เล็งๆไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงกันยายนหรือไม่ก็ตุลาคมนั่นแหละ
สกอตต์ แล้วเขาจะส่งคุณไปที่ไหนนี่ระหว่างการสู้คดีในเดือนกรกฎาคมนี้ Weiland : ที่แคลิฟอร์เนียมีสถานที่หนึ่งเรียกว่า Proposition 36 ต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆที่ยังมีที่นี่อยู่ มันเป็นที่สำหรับคนติดยาหรือคนที่กำลังจะเลิกยาไม่ว่าคุณจะบริสุทธิ์หรือโดนตัดสินว่าผิด คุณก็สามารถขออนุญาตไปอยู่ที่นั่นได้
อย่างน้อยก็ไม่ต้องเข้าไปนอนในคุกละนะ Weiland : บอกตามตรงเลยนะ ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้หรอกนะ
ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ Weiland : ผมรู้สึกดีมากๆน่ะสิ ผมกำลังจะผ่านขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ และทนายของผมก็แนะนำให้ผมทำด้วย
วงนี้มีอะไรต่างกับ STP บ้างไหม ? Weiland : เรื่องที่เยี่ยมที่สุดของวงนี้ก็คือทุกๆคนในวงที่ผมร่วมงานด้วย ต่างก็เคยมีปัญหาส่วนตัวในแบบที่ผมเคยเจอมาทั้งนั้นเลย และต่างก็ผ่านมันมาได้ ดังนั้นพวกเขาก็ช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่ ผมไม่ได้อยากทำให้ใครเดือดร้อนหรอกนะ แต่การที่มีคนมาช่วยเหลือแบบนี้มันยอดเยี่ยมไปเลย
แล้ว STP จะมีอัลบัมชุดต่อไปไหม Weiland : พวกเราก็หวังอย่างนั้น อีกไม่นานจะมีงานรวมเพลงของ STP ที่มีเพลงใหม่ที่พวกเราทำร่วมกันเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ออกวางตลาดเพลงนั้นมีชื่อว่า All in the Suit That You Wear มันร็อคสุดๆเลยล่ะพวก
แล้วเพลงอื่นๆของ Velvet Revolver จะเยี่ยมเหมือน Set Me Free หรือเปล่า Weiland : แน่นอนเลยพวก มันต้องเจ๋งพอกันอยู่แล้ว แต่อาจจะต่างกันในรายละเอียดนะ เพราะว่าเดฟ คัชเนอร์ มือกีตาร์อีกคนหนึ่งของพวกเรา พาความร่วมสมัยมาใส่ในงานของพวกเรา เขาเก่งเรื่องพวกเทคนิคใหม่ๆน่ะ หนึ่งในมือกีตาร์ที่ผมชอบมากๆก็คือเดฟ นาวาร์โร ผมชอบที่เขาทำให้เสียงกีตาร์กลายเป็นเสียคีย์บอร์ดแนวไซคีเดลิกไปเลย เดฟ (คัชเนอร์) ก็ทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกันนั้น และเขาก็เอาสำเนียงใหม่ๆมาสู่วงของพวกเรานะ
นอกจาก Set Me Free กับ Money แล้วยังมีเพลงอื่นอีกไหมที่ทำเสร็จแล้ว Weiland : ยังมีเพลงชื่อ Slither นะมันเป็นร็อค ผมคงบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ในตอนนี้นะ
แล้วคุณอยากให้ใครมาโปรดิวซ์งานให้ Velvet Revolver ล่ะ Weiland : เราคิดกันหนักเลยนะเรื่องนี้ มันเหมือนกับว่าจะมีใครว่างมาทำงานให้เราวะเนี่ย เราอยากได้ใครสักคนที่มีความสามารถทางดนตรีสูงๆแต่ก็เก่งเรื่องพวกเทคโนโลยีใหม่ๆด้วยนะ คนแบบนี้มีหลายคนเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะว่างพอมาทำงานให้เราหรือเปล่าน่ะสิ
แล้วเมื่อไหร่พวกคุณจะกลับมาอาละวาดกันอีกล่ะ Weiland : เราอยากจะปล่อยงานออกมาภายในสิ้นปีนี้นะ ผมว่านี่เป็นโอกาสที่ดีนะ... เพราะตอนนี้เงินในธนาคารของผมมันเริ่มจะร่อยหรอลงไปทุกทีแล้ว คือผมเพิ่งซื้อที่ดินแล้วก็ปลูกบ้านไปหลังหนึ่งน่ะ ไม่ต้องรู้หรอกนะว่าที่ไหนแต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่ที่แคลิฟอร์เนียแน่ๆ ถึงผมจะยังคงอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย แต่ที่นี่เป็นที่ที่ควรจะย้ายออกไปให้เร็วที่สุด ดังนั้นที่บ้านใหม่ของผม พวกลูกๆผมจะได้ตกปลาและปีนเขาได้ด้วยนะ
สกอตต์ วีแลน |
|
นักร้องนำและฟรอนต์แมนของ Stone Temple Pilots วงในยุคอัลเตอร์เนตีฟรุ่งเรือง โด่งดังจากอัลบัม Core (92) ตามด้วย Purple (94) อัลบัมอันดับ 1 ในอเมริกา เป็นนักร้องที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง แต่โชคไม่ดีที่หันมาเล่นยาหนักไปหน่อย ทำให้ต้องมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลและต้องพักงานดนตรีไปนาน หันมาทำไซด์โปรเจกต์ชื่อ Talk Show ในช่วงปี96 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และยังเคลียร์ปัญหาเรื่องการบำบัดยาไม่สำเร็จ การกลับมาคราวนี้กับ VR ย่อมต้องทำให้วงการร็อคสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน |
สแลช |
|
มือกีตาร์พระกาฬที่คอร็อคทั่วโลกรู้จักดี เป็นแกนหลักในการแต่งเพลงและเล่นกีตาร์ให้ Guns N Roses มาตั้งแต่ยุคแรก โด่งดังมาตลอดในยุค90s โดยเฉพาะงานของ GNR อย่าง Appetite for Destruction (87) และ Use Your illusion I & II (91) ช่วงที่มีปัญหาเรื่องการทำงานกับแอกเซิล สแลชหันมาทำไซด์โปรเจกต์ชื่อ Slashs Snakepit ร่วมกับเอริก โดเวอร์ (อดีต Jellyfish), ไมค์ ไอเนซ (Alice In Chains) และแมตต์กับกิลบี เพื่อนร่วมวง GNR และออกจาก GNR อย่างเป็นทางการราวปลายปี95 |
ดัฟฟ์ แมกเคแกน |
|
มือเบสที่ร่วมหัวจมท้ายกับสแลช มาตั้งแต่ GNR ออกอัลบัมเดี่ยวชื่อ Believe In Me (93) ที่ผลตอบรับแย่มาก เขาลาออกจากวงในปี95 ก่อนสแลชไม่นานเพื่อตั้งวงชื่อ Neurotic Outsiders ในปี96 ร่วมกับแมตต์, สตีฟ โจนส์ (Sex Pistols) และจอห์น เทย์เลอร์ (Duran Duran) ที่เล่นดนตรีร็อคแอนด์โรล/พังก์ ออกอัลบัมมา 2 ชุด แต่ก็ยังไม่เวิร์กเหมือนเดิม ก็เลยแยกย้ายกันไปในที่สุด ดัฟฟ์จึงทำหน้าที่เป็นนักดนตรีรับเชิญและแต่งเพลงของตัวเองไปด้วย กระทั่งได้รับการทาบทามจากสแลชให้มาร่วมวง Velvet Revolver ด้วยกัน |
แมตต์ ซอรัม |
|
อดีตมือกลอง The Cult ที่เข้าไปแทนที่สตีฟ แอดเลอร์ ของ GNR ที่ถูกไล่ออกจากวงไปในปี90 และเป็นสมาชิกที่อยู่กับวงไปตลอดกระทั่งสแลชลาออกจากวง เขาจึงตามไปร่วมงานกับ Slashs Snakepit ของสแลช รวมทั้งไปตีกลองให้ในอัลบัมเดี่ยวของกิลบี คลาร์ก มือกีตาร์อีกคนหนึ่งของ GNR ด้วย ความสัมพันธ์ของแมตต์กับอดีตสมาชิก GNR ค่อนข้างแน่นแฟ้น ดังนั้นไม่ว่าอดีตสมาชิก GNR คนไหนยกเว้นแอกเซิล เขาพร้อมที่จะไปช่วยงานด้วยเสมอ แมตต์เป็นมือกลองที่มีงานเซสชันไม่ขาดสาย เพราะความมีน้ำใจของเขานั่นเอง |
|