The Medallion (ฟัดอมตะ)
ไฮ-คอนเซ็ปท์ของหนังอยู่ที่เหรียญโบราณในมือเด็ก ซึ่งสามารถชุบชีวิต และเพิ่มพลังเหนือธรรมชาติให้กับเฉินหลง หลังจากตายไปแล้ว เป็นคอนเซ็ปท์ในทางเดียวกับเสื้อวิเศษ ในเรื่อง Tuxedo แต่มีช่องทางให้สร้างเรื่องราวได้มากกว่า ซึ่งหนังก็สามารถทำออกมาได้สนุกกว่าด้วย แต่ถึงกระนั้นรายละเอียดของบทภายใต้สูตรพล็อตเรื่องของการไปช่วยเด็กที่ถูกลักพาตัว ก็ยังไม่สามารถพัฒนาให้เรื่องดำเนินไปในทางที่ราบรื่นเท่าที่ควร โดยเฉพาะตอนต้นที่น่าเบื่อ และตอนท้ายที่ไปกันใหญ่
ช่วงเวลาที่ใช้ในการปูพื้นเรื่องของหนัง ก่อนที่ เอ็ดดี้ หยาง (เฉินหลง) จะถูกฆ่าตายนั้น เป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อมาก แถมยังใช้เวลาช่วงนี้นานมากเสียด้วย และสิ่งที่ปูพื้นเสียมากมายนั้นก็ไม่ได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์สักเท่าไร เพราะขนาดใช้เวลามากมายอย่างนี้แล้ว ที่มาที่ไปของเด็กที่ถูกลักพาตัวนั้น ก็ยังมีความคลุมเครือมากไป จนกระทั่งท้ายเรื่อง ก็ยังสรุปอย่างคลุมเครือ ด้วยปาฎิหารย์อย่างรวบรัดตัดความไปเสียเลย
อาการขึ้นๆ ลงๆ ของบทปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ ช่วงที่ดี มักจะเป็นช่วงของอารมณ์ขัน ส่วนที่แย่เป็นช่วงของความมหัศจรรย์ที่เลยเถิดในตอนท้ายๆ ของหนัง ที่เหมือนกับจะบอกเราว่า ไหนๆ หนังมันก็เวอร์ขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมันล่ะ เหมาเอาง่ายๆ เลยว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งประกอบกับเทคนิคพิเศษที่เดี๋ยวเนี้ยบ เดี๋ยวหยาบ ก็ยิ่งน่าเสียดาย หากลดฉากเทคนิคพิเศษให้น้อยกว่านี้ แล้วทำเทคนิคให้สมบูรณ์แบบทั้งหมดน่าจะดีกว่านี้
การที่หนังกำหนดให้เหรียญโบราณ สามารถสร้างซุปเปอร์แมน ได้คนแล้วคนเล่าอย่างง่ายดายเหมือนลวกบะหมี่สำเร็จรูป ทำให้คลายความมหัศจรรย์ของเหรียญลงไปเยอะ จริงอยู่ที่เมื่อพระเอกมีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว ผู้ร้ายก็ควรจะมีพลังที่พอๆ กันหรือเหนือกว่า แต่ก็ไม่น่าจะด้วยวิธีเดียวกันเช่นนี้ ได้ผลออกมาเป็นรูปแบบเดียวกันแบบนี้ ลองนึกดูถ้า สไปเดอร์แมน มีคู่ปรับเป็นสไปเดอร์แมนเหมือนกัน หรือเอ็กซ์เม็น แต่ละตัวมีพลังชนิดเดียวกันหมด แล้วมันจะไปสนุกอะไร
หรือในสถานการณ์ที่ต้องใช้เหรียญไปชุบชีวิตคนอื่น ก็เป็นสถานการณ์ที่เสียเวลาเปล่า เพราะมันไม่มีความลุ้นอะไรอีกแล้วกับการใช้ครั้งที่สาม ซึ่งให้อารมณ์ต่างกับการใช้ครั้งแรก เพราะการที่เรายังไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ผลหรือไม่ ย่อมเรียกอารมณ์ได้มากกว่า ตัวอย่างฉากลักษณะนี้มีอยู่ใน Indiana Jones and the Last Crusade ที่พระเอกเอาน้ำที่ตักด้วยจอกศักดิ์สิทธิ์มาช่วยชีวิตพ่อ นับเป็นฉากที่ทรงพลังมากฉากหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ฉากวิ่งสู้ฟัด สไตล์เฉินหลง ยังคงไว้ใจได้ในมาตรฐานเฉินหลง และมีให้ดูกันแบบยาวๆ ต่อเนื่องกัน ตามแบบฉบับของหนังอ่องกง ไม่ใช่ให้ดูกันสั้นๆ แบบที่หนังฮอลลีวู้ดนิยม เช่น Tuxedo , Rush Hour หรือ Shanghai Knight
อารมณ์ขันของหนัง แม้จะโดดเด่น แต่สิ่งที่แปลกปลอมที่สุดของหนัง กลับเป็นการแสดงตลกของฝรั่งอย่าง ลี อีแวนส์ ที่รับบทเป็น วัตสัน ตำรวจลับผู้ร่วมงานของเฉินหลง ซึ่งใช้สไตล์การแสดงแปลกๆ ที่ทำให้ผมนึกถึง มิสเตอร์บีนส์ ซึ่งน่าจะขำมาก แต่ดูแล้วกลับเข้ากันไม่ได้กับนักแสดงคนอื่นๆ เอาเสียเลย พอถึงช่วงเขาแสดงจึงดูเหมือนช่วงพยายามโชว์ตลกของเขา ที่คนดูต้องพยายามเอาใจช่วยให้มุขมันขำ เช่น บางครั้งเราอาจจะกลั้วหัวเราะรอมุขที่เขากำลังจะเล่น เพราะดูทางของมุขแล้วมันต้องฮาขี้แตกขี้แตนแน่ แต่พอถึงมุขจริงๆ การแสดงที่ล้นเกิน และผิดจังหวะ จนทำให้เสียงหัวเราะต้องชะงักงัน หรือปล่อยออกมาอย่างกร่อยๆ และกระปริบกระปรอย สู้สาวจีนอย่าง คริสตี้ ชุง หรืออดีตคุณบุญเลื่อง ก็ไม่ได้ แม้จะออกมาไม่มากนักในบทภรรยาของวัตสัน แต่สามารถสร้างอารมณ์ขันได้อย่างน่าจดจำกว่าเยอะ
แม้ว่าข้อเสียของหนังจะปรากฎอยู่เต็มไปหมด แต่ความสามารถเฉพาะตัวของเฉินหลงก็สามารถพยุงหนัง The Medallion ให้ดูสนุกได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เพียงแต่ทำใจนิดหน่อยก็พอ
แหล่งที่มา : Reviewed by : แกนชาย อันโตนี่, www.movieseer.com
|