Home Shop Mag'z Member Basket Thai / English Site Map
Webboard Book Toy Music Movie
Movie
  >  home >  movie >  Review > 
    The Italian Job : หนังดีที่มาผิดที่ผิดเวลา
The Italian Job (ปล้นซ้อนปล้น พลิกถนนล่า)
หนังดีที่มาผิดที่ผิดเวลา

การนำหนังเก่ามาสร้างใหม่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกสักเท่าไร เพราะที่ผ่านมาก็มีให้เห็นกันหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Ocean’s Eleven (2001/1960) , Mr.Deeds (2002) ซึ่งนำผลงานเก่าในปี 1936 เรื่อง Mr.Deeds goes to town มาทำใหม่ รวมไปถึง Red Dragon (2002) หนังต้นกำเนิดของดร.ฮันนิบาล เล็คเตอร์ ซึ่งเคยถูกสร้างมาแล้วครั้งหนึ่งในชื่อเรื่อง Manhunter (1986)

ดารานำ อย่าง มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ซึ่งเป็นพระเอกของ The Italian Job เองก็ดูจะถูกโฉลกกับหนังรีเมคพอสมควรเพราะหนังของเขา 2 เรื่องก่อนหน้านี้ ได้แก่ Planet of the Apes (2001) และ The Truth about Charlie (2002) ก็เป็นหนังรีเมคเช่นเดียวกัน เรื่องแรกเป็นการนำเอาหนังคลาสสิคในปี 1968 มาทำใหม่ โดย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ต้องมารับบทเดิมที่ ชาร์ลตัน เฮสตัน แสดง ส่วนเรื่องหลังเป็นการนำหนังเก่าเรื่อง Charade (1999) ซึ่งเขาต้องมารับบทเดิมที่ แครี่ แกรนท์ นำแสดง

แต่หากจะพิจารณาจากตัวผลงานรีเมคของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก จะเห็นได้ว่าผลงานทั้ง 2 เรื่องข้างต้นไม่ค่อยจะเปรี้ยงปร้างสักเท่าไร The Italian Job ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งพิจารณากันในเรื่องของรายได้ เพราะหนังใช้ทุนสร้างประมาณ 65 ล้าน แต่ทว่าทำรายได้กลับมาที่เกือบๆ 97 ล้านเท่านั้น แต่หากจะมองเฉพาะในส่วนของตัวหนัง ก็จะเห็นว่าหนังทำออกมาได้สนุกดีทีเดียว

หนังเปิดเรื่องให้แก๊งค์โจรแก๊งค์หนึ่งซึ่งมี ชาร์ลี โครเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) และลูกทีมที่มีความสามารถเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน อย่าง สตีฟ (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน), ไลย์ (เซ็ธ กรีน) อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์, ไอ้รูปหล่อ ร็อบ (เจสัน สเตแธม) ที่บทในเรื่องแทบจะไม่แตกต่างจากเรื่อง Transporter นั่นคือ นักซิ่งตีนผี , ไอ้หูเดียว (มอส เดฟ) ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิด และ จอห์น บริดเจอร์ (โดนัลด์ ซุทเธฮร์แลนด์) นักเจาะรหัสผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อและเพื่อนของชาร์ลี ปฏิบัติการปล้นทองคำมูลค่า 35 ล้านจากคฤหาสน์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี

แผนการดำเนินไปด้วยดี จนถึงตอนที่ทุกคนจะแยกย้ายกัน สตีฟก็จัดการหักหลังเพื่อนๆ ทุกคนและลงมือกำจัดทุกคน โชคร้ายตกอยู่กับ จอห์น ที่ต้องตายในน้ำมือของสตีฟ แต่ทุกคนที่เหลือก็มีชีวิตรอดได้

หลังจากนั้น 1 ปี ชาร์ลีและเพื่อนร่วมทีมที่เหลือก็สืบจนรู้ว่าสตีฟหนีไปกบดานที่ไหน ทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาหายแค้นได้ ก็คือ การล้างแค้นเก็บต้นทบดอกกับสตีฟ โดยงานนี้ชาร์ลีได้ไปชวนให้ สเตลล่า (ชาร์ลิซ เธียรอน) ลูกสาวของจอห์นมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย ซึ่งเรื่องราวต่อจากนี้ก็เป็นไปตามสูตรที่คอหนังทุกคนน่าจะพอเดาได้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป

เพียงแต่จุดที่แตกต่างจากหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นในช่วงซัมเมอร์นี้ก็คือ มุมภาพที่ดูแปลกหูแปลกตาออกไป อย่างฉากการขับรถไล่ล่า (สูตรสามัญประจำของหนังฮอลลีวู้ด) ที่เปลี่ยนจากการไล่ล่าด้วยรถสปอร์ตเท่ๆ มาเป็นรถมินิ ซึ่งข้อได้เปรียบของรถมินิ ก็คือ เรื่องของขนาด ดังนั้นผู้ชมจะได้ชมการขับรถหลบหนีไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและคับแคบ ซึ่งยังรวมไปถึงการขับลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน นอกจากเรื่องของมุมกล้องต่างๆ แล้ว หนังยังเลือกวิธีการนำเสนอให้ผู้ชมใช้สติ หรือ สมองในการดู มากกว่าที่จะยัดฉากบู๊ดุเดือดเหมือนอย่างหนังเรื่องอื่น

หนังใช้วิธีเล่าเรื่องโดยโชว์ฉากแอ็คชั่นเพื่อตรึงคนดูในช่วง 15 นาทีแรก แล้วค่อยมาแจกแจงรายละเอียดเด่นๆของตัวละครแต่ละตัวหลังจากที่เปิดตัว สเตลล่า โดยแนะนำให้คนดูรู้จักแคแร็คเตอร์ของตัวละครตัวอื่นๆไปพร้อมๆ กับนางเอกของเรื่อง

ในส่วนของทีมดารานำแสดง ก็ถือว่าได้ดาราในระดับ A- ของฮอลลีวู้ดมาร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนของฝีมือการแสดงก็ไม่ต้องพูดถึง ทุกคนแสดงกับบทบาทที่ตัวเองถนัดได้อย่างสบายๆ และนับเป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งสำหรับแฟนขาประจำของ ชาร์ลิซ เธียรอน ตรงที่เรื่องนี้เธอไม่ต้องมีฉากโชว์รูปร่างของเธอเหมือนอย่างหนังเรื่องอื่นของเธอ

ส่วนผู้กำกับ เอฟ แกรี่ เกรย์ ดูจะหันมาทำหนังแนวถนัดอย่าง The Negotiator (1998) อีกครั้ง หลังจากเสียเครดิตในสายตาแฟนหนังไปพอสมควรกับ A Man Apart (2003) ซึ่งเมื่อดูจากผลงาน 2 เรื่องหลังอย่าง A Man Apart และ The Italian Job กลับรู้สึกเหมือนผู้กำกับคนนี้เริ่มทำหนังที่ไม่สามารถหลอกล่อให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครได้เหมือนอย่างตอนที่ทำ The Negotiator แล้วเพราะทั้ง 2 เรื่องที่พูดมานั้นคนที่ดูหนังมามากพอสมควรน่าจะเดาเนื้อเรื่องได้หมดแล้ว

ข้อเสียเปรียบอย่างเดียวของหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะความแตกต่างและข้อดีในส่วนที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นก็คือ หนังเลือกให้คนดูดูสนุกกับการชิงไหวชิงพริบมากกว่าจะดูหนังแอ็คชั่นที่เน้นขายแต่ฉากบู๊ ที่ต้องบอกว่าเป็นข้อเสียเปรียบทั้งๆ ที่ช่วงต้นของบทความชมว่าเป็นข้อดี ก็เพราะว่า ในปี 2003 นี้ หนังแอ็คชั่นได้สร้างนิสัยเสียให้กับคนดู โดยเลือกนำเสนอฉากวินาศสันตะโรที่ตื่นตาตื่นใจและยาวนานให้กับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็น Matrix Reloaded, T3 , Bad Boys II และ S.W.A.T.

ในช่วงที่คนดูหนังฮอลลีวู้ดมีความสุขกับการบริโภคหนังที่ใช้ทุนสร้างสูงๆ และมีฉากแอ็คชั่นดุเดือดเลือดพล่าน เมื่อ The Italian Job ออกฉาย จึงดูเป็นหนังที่มาผิดที่ผิดเวลา ต้องบอกว่าถ้า The Italian Job ออกฉายในช่วงเวลา 2-3 ปีก่อนหน้า หรือหลังจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่คนดูเริ่มเอียนกับหนังแอ็คชั่นมากๆ และให้ความสนใจกับบทและเนื้อเรื่องของหนัง เชื่อว่าหนังเรื่องนี้น่าจะประสบความสำเร็จและเป็นที่ชื่นชมของคนดูได้มากกว่านี้

แหล่งที่มา : Reviewed by : Kazaa, www.movieseer.com

สินค้าที่เกี่ยวข้อง
คลิกดูรายละเอียด

 

Top
E-Mail

Password


Community
Activity
Photo Contest
Bey Blade
Cartoon 9
Chat Room
D-3
D-Terminal
D-Power
Digimon
Download
Market Place
Micro pet
Quiz
Can not select dB