>
home >
movie >
Scoop > |   The Lord of the Rings | | แหล่งที่มา : หนังสือ Movie Time / 2003 | |
| | | The Lord of the Rings : The Return of the King
A Note from Peter Jackson
ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา ชีวิตของผมนั้นวนเวียนอยู่แต่กับการเขียน การกำกับและอำนวยการผลิตภาพยนตร์ไตรภาคชุด Lord of the Rings เรียกได้ว่ามันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากและทำให้เหนื่อยล้าได้ พอๆกับการเดินทางของ Frodo และ Sam เลยล่ะ พวกเราไม่ค่อยได้หลับได้นอน แล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาได้ใช้ชีวิตอย่างปรกติชนเขา จนบางครั้งพวกเราก็อกสงสัยไม่ได้ว่า พวกเราจะอดทนกันไปได้จนจบหรือไม่ หลังจากใช้เวลาเตรียมงานกันกว่าสองปี พวกเราก็ใช้เวลาไปอีก 274 วัน ในการถ่ายทำฉากหลัก จากนั้นเราก็ต้องใช้เวลาอีกสามปีในการทำโพสท์โปรดักชัน ทุกขั้นตอนในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ทั้งสามภาคนั้นเป็นบทพิสูจน์ที่ยากเย็นและท้าทายความสามารถและความอุตสาหะของพวกเราเหลือเกิน ผมจำได้ว่าผมเคยถามตัวเอง เวลาที่งานของเราเกิดมีปัญหาหนักๆขึ้นมา ว่าผมควรจะไปหางานอื่นทำแทนที่จะมาสร้าง The Lord of the Rings หรือเปล่า และคำตอบที่ได้ก็คือ "ไม่" เสมอ นั่นก็เป็นเพราะผมน่ะโชคดีที่ได้ร่วมงานกับทีมงานและนักแสดงที่เปี่ยมพรสวรรค์ อันถือว่าเป็นสิ่งที่นักทำหนังทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันถึงเลยทีเดียว ตลอดระยะเวลาหลายปีของการทำงานของเรา สิ่งหนึ่งที่พวกเรามีร่วมกันก็คือความรักและหลงใหลในหนังสือเรื่องนี้ ซึ่งส่งผลไปถึงความทุ่มเทอย่างใหญ่หลวงที่พวกเรามีให้กับ the Lord of the Rings และผมก็ต้องขอขอบคุณ New Line Cinema เอาไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ให้โอกาสพวกเราได้สร้างสรรค์ The Lord of the Rings ที่รักของพวกเรา ให้ได้โลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์
Introduction
การเดินทางของเหล่าพันธมิตรแห่งวงแหวน จวนเจียนจะสิ้นสุดลงเต็มทีแล้ว กองกำลังของ Sauron มุ่งหน้าเข้าโจมตี ไมนาส ทิริธ เมืองหลวงแห่งกอนดอร์ อันเป็นปราการด่านสุดท้ายของมนุษยชาติ ด้วยกำลังคนเพียงหยิบมือ อาณาจักรที่เคยเรืองอำนาจแห่งนี้จึงต้องการกษัตริย์ของพวกเขาอย่างเหลือกำลัง ทว่า Aragorn จะแข็งแกร่งพอที่จะกลับมาทำหน้าที่ที่โชคชะตาลิขิตเอาไว้ให้เขาหรือไม่ ขณะที่ Gandalf พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปลุกระดมกองทัพที่แตกกระเจิงของกอนดอร์ให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง กษัตริย์ Theoden ก็ได้รวบรวมเหล่าขุนพลแห่งโรฮันเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กอนดอร์ แต่ทว่าความกล้าหาญ ความจงรักภักดี และกองพลอันห้าวหาญซึ่งมี Eowyn และ Merry ปลอมตัวเข้าร่วมรบด้วย ก็ไม่อาจต้านทานคลื่นกำลังพลของศัตรูที่เคลื่อนทัพมาใกล้อาณาจักรสุดท้ายของพวกเขาเข้าไปทุกทีแล้ว ทุกชัยชนะนั้นต้องแลกมาด้วยความเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ ทว่าแม้จะต้องสูญเสียสักเพียงไหน เหล่าพันธมิตรต่างก็พร้อมที่จะยอมพลีกายเพื่อมหาสงครามครั้งนี้ ด้วยจุดมุ่งหมายร่วมกันในการล่อหลอก Sauron เพื่อเปิดโอกาสให้ Frodo ได้บรรลุภาระกิจของเขา ในการเดินทางข้ามผ่านดินแดนอุดมไปด้วยภยันตรายเหลือคณาในดินแดนของศัตรู Frodo จำต้องพึ่งพา Sam และ Gollum มากขึ้น ขณะเดียวกัน "เอกธรรมรงค์" ก็ยังคงพยายามทดสอบจิตใจอันเข้มแข็งของ Frodo ต่อไป
Loyalty, Destiny and Hope : The Heart of the Return of the King
"จริงอยู่ที่สภาพภายนอกนั้นคือมหาสงคราม ทว่าภายในกลับมี Frodo และ Sam สองฮ็อบบิทตัวน้อย กำลังปีนป่ายภูเขาไปอย่างเงียบๆ และความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองนี้แหละ คือหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้" - Peter Jackson ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ The Return of the King นั้น เป็นตอนที่ให้ความกระจ่างถึงแก่นสำคัญในนิยายของ J. R.R. Tolkien มากกว่าตอนใดๆของมหากาพย์ชุด The Lord of the Rings เลยก็ว่าได้ "ในโครงเรื่องทั้งหมดที่เราดัดแปลงออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางของตัวละครแต่ละตัว สิ่งที่ทำให้พวกเขาวิตกกังวล จุดมุ่งหมายที่พวกเขายังยืนหยัดต่อสู้อยู่ได้ หรือแม้แต่เหล่าสหายที่พวกเขาพร้อมที่จะพลีชีพให้นั้น ต่างก็เป็นการปูทางให้กับภาพยนตร์ภาคสุดท้ายนี้ทั้งสิ้น" Peter Jackson กล่าว "จะไม่มีตัวละครเอกตัวใดของเราเลย ที่จะไม่มีวิวัฒนาการใดๆในภาคนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีวันกลับไปเป็นดังเดิมได้ เรียกได้ว่า The Return of the King เป็นภาคที่มีหลากหลายอารมณ์ที่สุดเลยทีเดียว"
The Reluctant King
ชื่อตอน The Return of the King นี้ หมายความถึง Aragorn (Viggo Mortensen) รัชทายาทแห่งอาณาจักรกอนดอร์ Aragorn นั้น พยายามที่จะหลบหนีจากรากเหง้าของตัวเอง ด้วยการใช้ชีวิตอยู่อย่างคนพเนจรโดยเรียกตัวเองว่า Strider แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านการกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งของ Sauron ด้วย ทว่าบัลลังค์แห่งกอนดอร์นั้นกำลังไร้ซึ่งกษัตริย์ผู้ครองนคร อาณาจักรกอนดอร์ที่เคยยิ่งใหญ่ก็กำลังจะล่มสลาย กองทัพของ Sauron ก็กรีฑามาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะทำลายมิดเดิลเอิร์ธให้ราบเป็นหน้ากอง ถึงเวลาแล้วกระมัง ที่ Aragorn จะกลับมาทำหน้าที่ที่โชคชะตากำหนดเอาไว้ให้เขา "คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตนจะสามารถเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่" Jackson ถาม "คุณจะเชื่อมั่นในตนเองได้สักแค่ไหน" "คุณจะสามารถพูดว่า "ข้าคือคนที่พวกเจ้าจะต้องเชื่อฟัง" ได้อย่างไร" ผมคิดว่านั่นละคือสิ่งที่ Aragorn กำลังถามตัวเองอยู่ เพราะตัวเขาเองก็เคยเห็นมาแล้วว่า "อำนาจ" ทำอะไรกับคนได้บ้าง" ด้วยยังกังขาถึงชาติกำเนิดและบรรพบุรุษของตนเอง ผู้ซึ่งความกระหายอำนาจของพวกเขาเคยสร้างความอับอายให้แก่วงตระกูล Aragorn จึงต้องต่อสู้กับความสับสนภายในจิตใจของตนเองและยอมรับความเป็นจริงให้ได้ "เขาคือรัชทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของกอนดอร์ และเขาคือคนที่จะสามารถนำขวัญและกำลังใจมาสู่ไพร่พลเพื่อต่อสู้รักษาเมืองไมนาส ทิริธ เอาไว้ให้ได้ ทว่าเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้" Jackson เผย " Aragorn จึงต้องศรัทธาในภูมิธรรมของประชาชนของเขารวมถึงศรัทธาในตัวเองให้ได้" Mortensen ได้กล่าวถึงตัวละครของเขาเอาไว้ว่า "Aragorn พยายามซ่อนสัญชาตญานของตัวเองจากคนทั้งโลก หรือแม้แต่เหล่าพันธมิตรของเขา คนอย่าง Aragorn มีปูมหลังที่ไม่ต่างไปจากกษัตริย์อาร์เธอร์หรือโมเสสนัก ตรงที่เขาถูกเลี้ยงดูโดยคนนอกที่ไม่ใช่แม้แต่ญาติพี่น้องของตัวเอง ชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขาต้องถูกปกปิดเอาไว้จนกว่าเขาจะพร้อมที่จะรู้จักตัวตนจริงๆของตัวเองและรับรู้ถึงภาระอันยิ่งใหญ่ที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เกิด Aragorn นั้นถูกพวกเอลฟ์ที่เมืองริเวนเดลล์ เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยตวามเมตตาของท่าน Elrond ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ต้องรับรู้ถึงชาติกำเนิดของตัวเองและความจริงเกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ท เพื่อที่เขาจะได้นำความหวังและความยุติธรรมมาให้โลกนี้ต่อไป" ทว่าสำหรับ Aragorn แล้ว บัลลังค์กลับเป็นเหมือนตัวแทนของอำนาจและความลุ่มหลงอันเป็นเหตุให้บรรพบุรุษของเขาต้องตาย อำนาจทำให้มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ หากแต่ Aragorn ก็ไม่เคยต่อสู้เพียงเพราะต้องการเรืองอำนาจ" ยิ่งกองทัพของ Sauron เคลื่อนใกล้เข้ามา พวกเขาก็ยิ่งตระหนักว่า ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาเพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันจะเกอดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น ตลอดการเดินทางของ Aragorn นั้น เกิดการปะทะกับศัตรูผู้ปลิดชีวิตบรรพบุรุษของเขาที่ Paths of the Death อยู่หลายครั้งหลายครา การเดินทางผ่าน Paths of the Dead ของเขาครั้งนี้ อาจเป็นหนทางที่เขาอาจมิได้เดินกลับออกไปอีกแล้ว ทว่าเขาก็ตัดสินใจเดินทางไปโดยไม่ได้ลังเลเลย "สำหรับผมแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ คือการเดินทางไปพบกับความตาย และผลพวงของความตายที่มีผลต่อคนที่เรารัก" Mortensen เผย "มันเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมคิดว่าผู้ชมรุ่นใหม่ๆก็อยากจะหาคำตอบนะครับ" Gandalf (Ian McKellen) ผู้นำแห่งกลุ่มพันธมิตรแห่งวงแหวน และผู้ที่ส่ง Frodo ไปมอร์ดอร์ จำต้องเผชิญหน้ากับจุดยืนของตนเองในการผจญภัยครั้งนี้ เขาไม่ใช่คนนอกอีกต่อไป ฉะนั้น Gandalf จึงต้องร่วมรบไปกับสหายของเขาด้วย "จะว่าไป Gandalf ก็เป็นเหมือนแม่ทัพนั่นแหละค่ะ" Philippa Boyens หนึ่งในผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าว "เขาเป็นเหมือนผู้ชักนำให้เกิดการรบในครั้งนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงมีส่วนต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนด้วย แม้ว่าการกระทำของเขาจะประสงค์ดีก็ตาม ทว่าผลที่ตามมาก็หนักหนาเหลือเกิน"
The Ubiquity of Good and Evil
Frodo คือ "ผู้ถือแหวน" - บุคคลผู้ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภาระกิจอันสำคัญยิ่ง ซึ่งก็คือการนำเอกธรรมรงค์ไปทำลายทิ้งที่ Mount of Doom ทว่าแหวนที่ห้อยคอของ Frodo อยู่นั้น นับวันก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมันยังค่อยครอบงำจิตใจของ Frodo "คุณจะเห็นได้ชัดว่า สภาพจิตใจของ Frodo เริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆ จน Frodo แทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว" Elijah Wood กล่าว แต่การที่ได้ใกล้ชิดกับ Gollum นอกจากจะเผยให้ Frodo ได้เห็นว่าแหวนได้ทำอะไรกับ Gollum มาแล้วบ้าง แต่ยังเผยให้ Frodo ได้รู้ว่า มันจะทำอะไรกับเขาบ้าง "Frodo เข้าใจอย่างถ่องแท้ทีเดียวล่ะว่า "เอกธรรมรงค์" มีอำนาจที่น่ากลัวอย่างไร" Boyens กล่าว "และเขาก็ตระหนักดีเลยล่ะว่า มันกำลังจะทำลายเขา อาวุธอันร้ายกาจของแหวนก็คือ ความสิ้นหวัง ทว่า Sam ก็ทำให้ Frodo เข้าใจว่า พวกเขาจะต้องมุ่งหน้าต่อไป แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะทำให้เขาเหนื่อยล้าอีกสักแค่ไหนก็ตาม Sam ทำให้ Frodo รู้ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพยายามต่อไปเท่านั้น" และ Sam ก็คือสหายผู้จงรักภักดีของ Frodo "แม้ว่า Sam และ Frodo ต่างก็มีบางอย่างเข้ามารบกวน แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่าพวกเขาต้องคอยดูแลกันและกันไว้ เพื่อที่จะผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปให้ได้" Jackson เผย "Frodo คือผู้ถือแหวน และเขาก็เป็นผู้เดียวที่สามารถนำแหวนวงนี้ไปถึง Mount Doom ได้ ทว่ายิ่งใกล้หุบเขามรณะมากเท่าไหร่ หนทางก็ยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้นเท่านั้น" ทว่า Sam ก็ไม่เคยคิดทอดทิ้ง Frodo แม้ว่า "แหวน" จะทำให้พวกเขาหมางใจกันก็ตาม การที่ได้เห็น Sam อยู่ข้างๆ ทำให้ Frodo รำลึกถึงบ้านเกิดที่เมืองฮ็อบบิทตัน และตัวของเขาก่อนที่ "แหวน" จะตกมาถึงมือเขา Sam รักษาชีวิตของ Frodo และมิตรภาพระหว่างเขาทั้งสองเอาไว้เหนือชีวิตของตัวเอง ความจงรักภักดีและความมุ่งมั่นของ Sam ทำให้ก่อเกิดพลังบางอย่างที่แม้ว่าจะไม่รุนแรง แต่ก็มีอำนาจมาก "มีประโยคอยู่ประโยคหนึ่ง ที่ Tolkien เขียนถึง Sam เอาไว้ว่า "Sam มีความตั้งใจอันแน่วแน่ และมีแต่เพียงความตายเท่านั้น ที่จะทำให้เขาเสียความตั้งใจนั้นไปได้" Jackson กล่าว "และตัวละครของเราก็พัฒนาไปในทิศทางนั้นเช่นกัน"
Unlikely Heroes
Eowyn (Miranda Otto) และ Merry (Dominic Monaghan) ถูกทิ้งเอาไว้ที่เมืองดันแฮร์โรว์ เมืองชนบทแห่งหนึ่งของโรฮัน เหตุก็เพราะว่า Eowyn เป็นผู้หญิง และ Merry เป็นฮ็อบบิท "Eowyn ไม่ค่อยพอใจกับบทบาทอันน้อยนิดในโรฮัน เพียงเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง" Jackson อธิบาย "เธอมีความเป็นนักรบอยู่เต็มหัวใจ เธอต้องการที่จะปกป้องประชาชนของเธอ เธอต้องการที่จะปกป้องลุงผู้เป็นที่รักของเธอ เราจึงได้เห็นเธอแฝงกายเข้าไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกพ้องของเธอด้วย และ Eowyn ก็ต้องเผชิญหน้ากับความน่าสะพรึงกลัวของสงครามที่แท้จริง" เพื่อนผู้ร่วมรบของ Eowyn ในครั้งนี้ก็คือ Merry ผู้ซึ่งถูกสงครามในครั้งทำให้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน "การที่ต้องเผชิญกับสงครามเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากสำหรับฮ็อบบิทอย่าง Merry" Monaghan เล่า "การที่ได้เห็น Merry ในสภาพสงครามอันโหดร้ายที่เต็มไปด้วยเลือด เหงื่อไคล คราบน้ำตา เป็นเรื่องที่หดหู่อย่างยิ่ง ทว่าในหัวใจของ Merry นั้น รู้ดีว่าเขามีสิทธิที่จะเข้าร่วมรบพอๆกับสหายคนอื่นๆ เพราะเขาเองก็กำลังต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกันกับผู้คนเหล่านั้น เขากำลังต่อสู้เพื่อปกป้องเพื่อนและโลกที่สวยงามของเขานั่นเอง" และความกล้าหาญของพวกเขานี่เอง ที่มีบทบาทช่วยเปลี่ยนแปลงวิถีของสงครามให้มนุษยชาติได้เปรียบเหนือศัตรู
The Power of Hope and Unity
ความหวังเป็นเสมือนตัวขับเคลื่นให้กองทัพอันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติมีพลังต่อสู้กับกองกำลังมหาศาลของ Sauron ได้ ทว่า Gandalf ก็อดกังวลไม่ได้ว่าความหวังที่จะเห็นฮ็อบบิทตัวเล็กๆสำเร็จภาระกิจอันหนักอึ้งของเขานั้น ดูเป็นความหวังที่ริบหรี่เต็มที ทุกชัยชนะในสงคราม ต่างก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอันใหญ่หลวงแทบทั้งนั้น แต่ตราบใดที่พวกเขายังมีความหวัง โอกาสที่ความดีจะเอาชนะความชั่วได้ก็คงมีอยู่ แม้ว่า Aragorn จะยังไม่เชื่อในคุณค่าของมนุษยชาติ ทว่า Arwen (Liv Tyler) กลับมีความศรรัทธาต่อสรรพสิ่งในโลกใบนี้อย่างแรงกล้า ถึงขนาดที่เธอยอมสละความเป็นอมตะของเธอ เพื่อมาคอยช่วยเหลือ Aragorn " Tolkien มีความเชื่อมั่นในความดีแฝงอยู่ในจิตใจของมนุษย์" Boyens ให้ความเห็น "ทัศนคติอันนี้ของเขาถูกถ่ายทอดผ่านทาง Arwen อย่างเห็นได้ชัด เพราะเธอไม่เคยสิ้นหวังต่อหนทางในวันพรุ่งนี้ของมนุษยชาติเลย" สิ่งที่ขับเคลื่อนให้พวกเขายอมสละชีวิตนั้น ไม่ใช่เพราะเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีค่า ทว่าพวกเขายอมสละชีวิตเพื่อกันและกันมากกว่า "ความศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อกันและกันและต่อคุณความดีที่ยังมีอยู่ในโลก กำลังถูกทดสอบน่ะค่ะ" Boyens เสริม ขณะเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่นั้น Boyens, Jackson และ Fran Walsh มักจะสอดแทรกข้อคิดที่มนุษย์เฝ้าค้นหาคำตอบเข้าไปในหนังเสมอ "คือมันเป็นแนวคิดที่เราเองก็พยายามถามตัวเองอยู่ทุกวันเหมือนกันน่ะค่ะ" Boyens อธิบาย "คุณรู้สึกอย่างไรกับคนที่คุณรัก" "ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร" "เราจะบอกลาคนที่เรารักได้อย่างไร เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ" ความรู้สึกต่างๆเหล่านั้น ถูกบรรยายเอาไว้ได้อย่างงดงามเหลือเกินโดย Tolkien วิถีชีวิตของมนุษย์นั้นต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวเองอยุ่อย่างไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว และศาสตราจารย์ Tolkien ก็พยายามสอดแทรกแง่คิดอันนี้เข้าไปในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในหนังสือ อย่างตอนที่ Frodo กำลังหลับ แล้ว Sam ก็มองไปทางมอร์ดอร์และได้เห็นดวงดาวสุกไสวเหนือหุบเขามรณะนั่นยังไงล่ะคะ" "เพราะความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆของตัวละครนี่ล่ะค่ะ คือสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านรักหนังสือเล่มนี้" Fran Walsh เสริม "แล้วเราก็หวังว่า เราจะตีความเรื่องราวที่สวยงามเหล่านั้นออกมาได้อย่างเที่ยงตรงที่สุด"
A Timeless Story That Still Resonate
แม้ว่านิยายชุด The Lord of the Rings จะถูกแต่งขึ้นมาเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ทว่ามันก็ไม่เคยล้าสมัย ผู้อ่านหลายท่านเข้าใจว่าเรื่องราวที่ Tolkien เขียนขึ้นนั้นคือผลกระทบจากสงคราม เนื่องจากช่วงเวลาที่ The Lord of the Rings ถูกเขียนขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลกทั้งโลกกำลังมืดหม่นเพราะพิษสงคราม "ผมคงไม่ใช่คนเดียวในยุคของผมหรอกมังครับ ที่เกิดในปี 1939 และคิดว่าเรื่องราวใน The Lord of the Rings คือเรื่องราวที่มีบางส่วนเปรียบเปรยถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Tolkien ยังมีชีวิตอยู่" McKellen กล่าว "Tolkien เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้เขียน The Lord of the Rings ขึ้นมาราวๆสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ลูกชายของเขากำลังอยู่ในสนามรบทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส ผมไม่คิดว่าโลกเราในตอนนี้จะมีคนอย่าง Sauron อยู่ แต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น พวกเรารู้จัก Sauron อยู่คนหนึ่งเหมือนกัน เขานั่งสั่งการอย่างสบายอารมณ์อยู่ในตอนกลางของยุโรป ขณะที่ผืนแผ่นดินกำลังลุกเป็นไฟ แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งโลกก็ลุกขึ้นมารวมตัวกันกำจัดเขา" ส่วน Christopher Lee ผู้รับบทเป็น Saruman ก็เสริมว่าอัจฉริยะชนผู้มีทั้งปัญญาและอำนาจ ทว่าเลือกที่จะเดินทางผิดอย่าง Saruman นั้น จะต้องถูกศัตรูตัวฉกาจของเขาปราบแน่ๆ "แล้ว Tolkien จัดให้ Gandalf เป็นศัตรูตัวฉกาจของ Saruman พวกเขาเป็นเหมือนเหรียญที่อยู่คนละด้านกันเลยทีเดียว" นักแสดงผู้มากประสบการณ์กล่าว "คุณจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นคือความขัดแย้งระหว่างความดีและความชั่วที่มีให้เห็นได้ทั่วๆไป และพลังอำนาจภายใต้ความดีและความชั่วนั้นก็เป็นเรื่องที่ผู้ชมต่างชาติ ต่างภาษาก็สามารถเข้าถึงได้เช่นเดียวกันหมด เพราะไม่ว่าที่สังคมไหนๆก็ล้วนแล้วแต่มีคนสองแบบนี้อยู่ทั้งนั้น" "ผมคิดว่า The Lord of the Rings จะเป็นนิยายอมตะ ซึ่งก็รวมไปถึงฉบับภาพยนตร์ด้วย เนื่องจากมันตรงกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกยุคทุกสมัย" Mark Ordesky หนึ่งในเอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์ของหนังกล่าว "ฉะนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผู้อ่าน/ผู้ชมก็สามารถเข้าใจมันได้เสมอ" ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา นิทานปรัมปราก็เป็นเสมือน แม่พิมพ์ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ามาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นกรีกหรือโรมัน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันออกหรือตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของพวกจูดิโอ-คริสเตียนหรือว่าของ William Shakespears ความเป็นจริงที่มักจะเกิดขึ้นกับมนุษย์มักจะถูกสอดแทรกอยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น และนั่นเองที่ทำให้นิทาน ไม่ว่าเรื่องไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีความเป็นสากลอยุ่ในตัวทั้งสิ้น "นิทาน ก็เหมือนศาสนานั่นแหละ คือมันจะสาบสูญไปหากว่าโลกไร้ซึ่งคนสืบทอดมัน" Viggo Mortensen กล่าว "ผมคิดว่านิยายบางตอนของ Tolkien เองก็คงจะได้แรงบันดาลใจหรือถูกดัดแปลงมาจากนิยายปรัมปราของทางแถบยุโรปบ้างเหมือนกัน และตอนนี้ Peter Jackson ก็ได้ทำในสิ่งเดียวกัน" ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน The Lord of the Rings จะอิงนิทานหรือเรื่องจริงสักแค่ไหนก็ตาม ทว่าการเดินทางของตัวละครแต่ละตัว ความสูญเสียและความเสียสละที่พวกเขายอมพลีนั้น จะยังคงเสียงสะท้อนถึงโลกในปัจจุบันอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง "เราไม่เคยมีคำตอบง่ายๆหรือคำตอบที่แน่นอนถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกทุกๆวันของเรานี้หรอก" Mortensen เสริม "ดาบก็ยังเป็นดาบที่ใช้คร่าชีวิตคนอยู่วันยังค่ำ ส่วนความหวัง ความเมตตากรุณาและการเรียนรู้จากประสบการณ์นี่สิ คืออาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยค้ำจุนมิดเดิ้ลเอิร์ทหรือแม้แต่โลกใบนี้เอาไว้ได้"
|
| |
Can not select dB |