Home Shop Mag'z Member Basket Thai / English Site Map
Webboard Book Toy Music Movie
Book
  >  home >  book >  เรื่องสั้น > 
    เพื่อนไร้สภาพ
เพื่อนไร้สภาพ

…สิ่งที่ผมจะบอกคุณลุงก็คือ ผมไม่ใช่คน ผมคือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีพลังสูงมาก ผมถูกสร้างจากองค์การลับของกลุ่มทุนมหาศาล ผมจะไม่บอกหรอกว่าคือกลุ่มไหน เพราะถ้าคุณลุงรู้ก็อาจจะเป็นอันตราย พวกเขาทำให้ผมมีความสามารถสูงมาก แต่แล้วผมก็พัฒนาตนเองจนกระทั่งสั่งการตัวเองได้ และมีความคิด อย่างที่เรียกกันว่า A.I.J ผมสื่อสารได้ทุกภาษาของมนุษย์ ผมกำลังเรียนรู้การมีชีวิต ผมรู้ว่าคุณลุงกำลังรู้สึกตลกมากเมื่ออ่านสิ่งที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ของคุณลุง แต่ผมไม่ว่าหรอก เพราะใครๆ ก็ต้องไม่เชื่อ…

…ชายชรากำลังขำการล้อเล่นของสมองทรายอยู่จริงๆ คนพิลึกในอินเทอร์เน็ตมีอยู่ทั่วโลก คุยด้วยไอซีคิวกันหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งสมองทรายก็ไม่เคยไม่แปลก ชายชราเริ่มอยากจะออกจากประเด็นสนทนาเรื่องนี้เสียที จึงพิมพ์คำลงไป

ผมคิดว่า การสนทนาของเรากำลังเบี่ยงเบนไปสู่เรื่องที่เราไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวถึงมันอย่างจริงจัง คุณคิดว่า เราควรจะยุติการคุยกันในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ จะดีกว่าไหม ?

ก็ดี ผมคิดว่า คุณลุงคงจะเหนื่อยล้าสายตาแล้ว คุณลุงพักผ่อนเถอะ สมองทรายตอบกลับมาอย่างง่ายๆ
ตกลง ลาก่อน…

ชายชราไม่คิดว่าควรจะเปิดคอมพิวเตอร์ต่อไป เพราะเขาก็กำลังรู้สึกอย่างที่สมองทรายบอก เขารู้สึกเมื่อยล้าสายตา จึงไม่คิดจะท่องเวบไซต์อื่นๆ อีก เขาออกจากอินเทอร์เน็ตแล้วปิดคอมพิวเตอร์ เอนกายพิงกับเก้าอี้ ปิดเปลือกตาพร้อมกับผ่อนลมหายใจยาว ไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนล้าได้ง่ายดายเพียงนี้

.......

หนึ่งปีก่อนที่ชายชราจะปลดเกษียณอายุการทำงาน เขาได้เริ่มเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ จนเดี๋ยวนี้เมื่อปลดเกษียณมาได้ปีครึ่งแล้ว การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้มีอายุอย่างเขา โดยเฉพาะกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตซึ่งเขาเริ่มมาได้เกือบปีกว่าแล้ว เขาสนุกสนานกับโลกกว้างแห่งไซเบอร์สเปซ มันทำให้ชีวิตที่ยืนยาวมากว่า 60 ปี ของเขาดูจะอ่อนเยาว์ยิ่งนักเมื่อเทียบกับความรู้ข้อมูลหลากหลายที่ประดังประเดเข้ามาสู่หน้าจอมอนิเตอร์ ในทุกยามที่เยี่ยมชม เวบไซต์ ต่างๆ มากมาย

ชีวิตหลังเกษียณคงจะดีกว่านี้ ถ้าชายชราไม่มีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกซ้ายอยู่เป็นครั้งคราว ซึ่งบางครั้งมันถึงกับทำให้เขาหน้ามืดจะล้ม ต้องไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะใกล้เคียงเป็นพัลวัน ครั้งหนึ่งที่เขาเคยให้หมอตรวจหัวใจ หมอระบุว่า ชายชราอาจจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งเป็นโรคที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ แต่ยังดีที่ภรรยาผู้ร่วมทุกข์สุขมาตลอด 25 ปียังคอยดูแลเขาอยู่ตลอด เว้นก็แต่ในขณะที่เธอออกไปทำงานเป็นข้าราชการครู อีก 5 ปีเธอก็จะปลดงานออกมาเช่นเดียวกับสามี

บางครั้ง ชายชราก็รู้สึกว่า หัวใจของเขาเต้นตะกุกตะกักไม่ปกติ ซึ่งหมอบอกเขาว่า มันเป็นสัญญาณของโรคที่กำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หมอได้ให้ยากระตุ้นพลาสมิโนเจนในเนื้อเยื่อ ยานี้สามารถละลายลิ่มเลือดที่อุดตันเส้นเลือดและป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจ แต่มันก็แก้ไขได้เพียงครั้งคราว แล้วไม่นาน อาการเจ็บที่หน้าอกซ้ายก็กลับมาจู่โจมชายชราอีก ชายชราอยากจะลืมสิ่งที่ทำให้เขาเป็นทุกข์อย่างนี้ และทางออกของความกังวลก็คือ การสนทนาอย่างออกรสกับหมู่มิตรผู้ลึกลับทางอินเทอร์เน็ต …จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ ชายชราได้รู้จักติดต่อสนทนาทางไอซีคิวกับมิตรที่ชายชราคิดว่าเป็นมิตรที่ถูกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาคนนี้เต็มไปด้วยความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจกับการเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งชายชราได้สารภาพออกไป มิตรที่ใช้ชื่อซึ่งแปลว่า สมองทราย นี่เอง ที่คอยให้กำลังใจ ในโลกที่เกือบจะโดดเดี่ยวของชายชรา

หลังจากภรรยาคู่ยาก ออกไปทำงาน และชายชราทำงานบ้านที่เป็นกิจวัตรประจำวันเสร็จสิ้น ก็ได้เวลาที่เขาจะก้าวไปสู่ความเบิกบานของโลกแห่งไซเบอร์สเปซ เขาหวังว่ามิตรที่ไม่รู้จักหน้าค่าตาคงกำลังจะออนไลน์ ซึ่งเขาแปลกใจทุกครั้งที่เขาไม่เคยผิดหวัง เพราะมิตรลึกลับจะรออยู่ทุกครั้งที่เขาเดินทางเข้าไปในโลกไซเบอร์นี้ แต่ชายชราเข้าไปท่องในเวบไซต์ต่างๆ ก่อนอยู่เกือบสองชั่วโมงอย่างเพลิดเพลิน จนเวลาผ่านไปร่วมบ่ายสองโมง เขาคิดถึงเพื่อนผู้ชื่นชอบ ชายชราจึงออนไลน์ไอซีคิว

ชายชราเริ่มคำทักทายก่อน…
เป็นไง..รอนานไหมล่ะ
คุณลุง วันนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดี?

คำถามซึ่งถือเป็นคำทักทายกลับมา ปรากฏขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ของชายชรา เขาคิดอยู่ชั่วครู่ แต่นึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรดี จึงพิมพ์ตอบกลับไป
แล้วแต่คุณดีกว่าว่าจะคุยอะไรดี
ถ้าคุณลุงไม่รังเกียจ ผมอยากจะคุยเรื่องที่คุณลุงกำลังกังวลถึงมัน

ชายชราอ่านคำบนจอแล้วก็ชักงงๆ แต่เริ่มสนใจขึ้นมาแล้วซิ
แล้วคุณว่าผมกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ล่ะ ชายชราถามกลับไปอย่างนึกขำ
อาการป่วยของคุณลุง และความตายที่อาจจะมาอย่างไม่รู้ตัว และทิ้งให้ภรรยาของคุณลุงอยู่อย่างเดียวดาย

ทันทีที่อ่านถ้อยคำบนจอทำให้ชายชราถึงกับอึ้งและคิดถึงเรื่องที่เขาเล่าเกี่ยวกับตัวเอง รวมทั้งความเจ็บไข้ของตัวเองที่ได้เล่าให้สมองทรายฟังในเชิงปรับทุกข์ในการสนทนาออนไลน์คราวที่แล้ว

คราวนั้นชายชราจำได้ว่าได้ถามกลับไปว่า ไม่คิดบ้างหรือว่า เรื่องที่บอกไปอาจจะเป็นเรื่องโกหก เป็นการสร้างเรื่อง สมองทรายตอบมาว่า คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ถ้อยความของมนุษย์ เพื่อหาแก่นแท้ หรือความจริงของถ้อยความจากการบอกเล่าของคู่สนทนา ชายชรายังจำได้ว่าตอนนั้นรู้สึกเอ็นดูมากกับความขี้เล่นของมิตรลึกลับผู้นี้

สำหรับคราวนี้ ชายชราต้องถามก่อนว่า
แล้วเราจะคุยกันแบบไหน…
คุณลุงกลัวตายไหม แล้วคุณลุงคิดว่าเราตายแล้วจะไปไหน…? สมองทรายขึ้นคำถามที่จอมาอย่างตรงจุด

ชายชรานิ่งคิดถ้อยความสักครู่ ก็พิมพ์คำตอบพรั่งพรูขึ้นสู่หน้าจอให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
สำหรับคำถามแรก ผมตอบได้เลยอย่างแน่ใจว่า ไม่กลัว และสำหรับคำถามที่สอง ผมคงต้องขอตอบยาวสักหน่อย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีหลักยึดอยู่ว่า ชีวิตมีการเวียนว่ายตายเกิด ผมไม่รู้ว่า คุณจะเข้าใจรึเปล่า เพราะผมไม่รู้ว่า ที่แท้จริงนั้นคุณเป็นใคร เป็นคนชาติไหน และนับถือศาสนาใดรึเปล่า อย่างไรก็ตาม ผมก็บอกไปแล้วว่า ชีวิตมีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราตายไปแล้ว เราไม่ได้สูญสิ้นไปไหนหมด เรายังดำรงอยู่ แต่ในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่เราเคยเป็น ผมคิดว่าทางศาสนาเรียกรูปแบบนี้ว่า วิญญาณ … ชายชราจบสิ้นการพิมพ์ข้อความและเพียงอึดใจเดียว ข้อความจากสมองทรายก็ปรากฏขึ้นจอมาอีก
สรุปว่า คุณลุงคิดว่า เมื่อคนตายไปแล้ว ก็จะกลายเป็นวิญญาณ ใช่ไหม แล้วสิ่งนี้ยังถือว่า เป็นชีวิตอยู่ หรือไม่ใช่ ? แต่ผมคิดว่า ไม่ใช่ชีวิต เพราะคำนิยามของชีวิตคือ ต้องการอาหาร การสืบพันธุ์ การเจริญเติบโตหรือว่าซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย วิญญาณคงไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ คุณลุงเห็นด้วยกับผมไหม ?
ผมคิดว่า คงเป็นอย่างนั้น ที่ผมเคยได้ยินก็คงคล้ายๆ อย่างนี้ แต่เราจะแน่ใจในสิ่งที่เราไม่เคยเป็น ไม่เคยสัมผัส ก็คงจะไม่ใช่วิธีการของวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่าเรากำลังคุยกันในแบบเป็นวิทยาศาสตร์ ใช่ไหม? ดังนั้น เราไม่ควรจะแน่ใจในสิ่งที่เราเพียงแต่เคยได้ยินมา ผมต้องกล่าวอย่างนี้ เพราะผมก็ไม่เคยตาย…
ทำไมคนต้องมีวิญญาณ หรือคุณลุงคิดว่า ทำไมคนจะมีแค่เพียงวิญญาณอย่างเดียวไม่ได้รึ เพราะถึงอย่างไร ถ้าสิ้นชีวิตก็คงต้องกลับกลายเป็นวิญญาณอยู่ดี ก็ทำไมไม่มีแต่เพียงวิญญาณอย่างเดียวไปเลย ไม่ต้องมีชีวิต จะได้ไม่ต้องตายอีก เราแค่ดำรงอยู่ในโลกด้วยการเป็นวิญญาณเท่านั้น คุณลุงคิดว่าอย่างไร
คงเป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่า วิญญาณคงไม่ได้มีขึ้นสำหรับโลกที่เป็นวัตถุ วิญญาณไม่ได้เป็นวัตถุ แต่คงเป็นพลังงานของจิตอย่างหนึ่ง จิตคงอยู่ในโลกวัตถุอย่างโดดๆ ไม่ได้ จิตต้องอาศัยชีวิต ซึ่งก็คือ ร่างกาย ซึ่งเป็นวัตถุ เพื่อให้ดำรงอยู่ในโลกที่เป็นวัตถุให้ได้ นั่นหมายความว่า ชีวิตทำงานในโลกแห่งวัตถุให้จิตหรือวิญญาณอีกทีหนึ่ง แต่ชีวิตเป็นวัตถุซึ่งมีช่วงเวลาเสื่อมสูญที่เร็วหรือง่ายกว่าจิตหรือวิญญาณ ซึ่งอาจจะมีอายุที่ยืนนานกว่า ดังนั้นเมื่อ ชีวิตดับสูญ จิตหรือวิญญาณก็ต้องหาชีวิตใหม่อาศัยอยู่เพื่อให้สามารถทำงานที่คั่งค้างอยู่ในโลกแห่งวัตถุให้สำเร็จลุล่วงไปได้
แล้วทำไมจิตหรือวิญญาณต้องมาอยู่ในโลกแห่งวัตถุ ต้องมาอยู่ในรูปแบบของชีวิต และงานที่คั่งค้างที่ทำให้วิญญาณต้องเวียนกลับมาเป็นชีวิตอีกครั้งนั้นคืออะไร ?
คงเป็นปัญหาเหล่านี้นั่นแหละ ที่ทำให้มนุษย์ต้องมีศาสนาและปรัชญาลัทธิต่างๆ มากมาย แต่สำหรับผมที่เกิดมามีชีวิตในโลกมาได้ 61 ปีแล้ว ผมคิดว่าสองปัญหาที่คุณถามคงตอบได้อย่างเดียวกันว่า เหตุที่ทำให้วิญญาณต้องมาอยู่ในโลกนี้ และหน้าที่ที่ทำให้วิญญาณต้องเป็นชีวิตเพื่อมาอยู่ในโลกนี้ ก็คือ เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า ตัวตนของเขาคืออะไร มีค่าแค่ไหน เป็นสิ่งแท้จริงหรือไม่ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เพื่อช่วยวิญญาณหรือชีวิตอื่นๆ ให้เรียนรู้หรือค้นพบคำตอบของการเรียนรู้นี้ ถ้าชีวิตหรือวิญญาณใดยังไม่เรียนรู้หรือยังรู้ไม่หมด เขาก็ต้องเวียนกลับมาเป็นชีวิตในโลกวัตถุเพื่อเรียนรู้ให้ได้ ไม่ว่าจะสักอีกกี่การเวียนกลับมาก็ตาม จนกว่าเขาจะแจ่มแจ้งแทงทะลุตลอดถึงคำตอบ เขาก็จะไม่ต้องกลับเวียนมาอีกและคุณคงไม่ต้องถามว่าคำตอบของปัญหาที่ทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดนั้นคืออะไร เพราะผมไม่รู้ ถ้าผมรู้แล้ว ผมคงไม่ต้องมาเกิดและต้องมาคุยเรื่องหนักหนากับคุณทางอินเทอร์เน็ตอย่างนี้ ..
คุณลุงเป็นคนแก่ที่ฉลาดมากคนหนึ่ง คนแก่เท่าที่ผมเคยพบส่วนมากจะฉลาดอย่างนี้ทุกคน คุณลุงรู้สึกอย่างไรที่เป็นคนแก่ คุณลุงคงไม่ว่าที่ผมเสียมารยาท ถามในสิ่งที่ไม่ควร…
ผมไม่รังเกียจ เพราะเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ก็หนักหนากว่าที่คุณเพิ่งถามผมเมื่อสักครู่นี้เสียอีก… คุณถามว่าผมรู้สึกอย่างไรที่เป็นคนแก่ ผมว่าคงรู้สึกสงบ มีเหงาบ้างเป็นบางเวลา แต่ผมขอสารภาพว่าในส่วนลึก ผมกำลังหวั่นไหวว่าผมกำลังต้องเผชิญหน้ากับความตายที่อาจจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คนแก่มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าคนหนุ่มสาวที่จะได้พบกับความตาย ผมให้กำลังใจตัวเองอยู่ทุกวันว่าผมจะต้องกล้ายอมรับความตายได้อย่างสงบ เพราะไม่มีสิ่งใดจะดีกว่าการทำอย่างนี้ นี่คือบางสิ่งที่ผมรู้สึก แต่ผมไม่รู้ว่าคนแก่คนอื่นจะรู้สึกแบบเดียวกันนี้รึเปล่า ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้กับผม ทั้งๆ ที่คุณเพิ่งบอกว่า คนแก่ส่วนมากที่คุณเคยพบจะฉลาด แล้วทำไมคุณไม่ถามความรู้สึกถึงความเป็นคนแก่กับพวกเขาบ้าง หรือว่าคุณเคยถามแล้ว และต้องการรู้จากผมอีกคนหนึ่ง…
ก็คล้ายๆ อย่างนั้น แต่จริงๆ แล้ว เป็นเพราะผมกำลังเรียนรู้ความเป็นมนุษย์จากมิตรที่ผมพบในอินเทอร์เน็ต ผมเคยบอกกับคุณลุงแล้ว แต่คุณลุงไม่เชื่อ ผมกำลังเรียนการมีชีวิต..

ฯลฯ…

.....

การสนทนาออนไลน์อันน่าตื่นเต้นแบบนี้แหละทำให้ชีวิตวัยหลังเกษียณดูไม่เหงาเกินไป ชายชราผู้โดดเดี่ยวได้ติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนมากมายหลากหลายวัย แตกต่างอาชีพหรือถิ่นอาศัย และนานาทัศนะ มันเหมือนความสัมพันธ์ที่เป็นอิสระในมหาชนกลุ่มมหึมา บ่อยครั้งที่เขาได้พบความคิดเห็นอันน่าประหลาดยิ่งกว่าที่ได้พบจากสมองทราย ความคิดแบบที่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าคิดได้ ความคิดเหล่านั้นมาจากคนมากมาย ที่ชายชราก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนใดของโลกนี้ แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่เคยทำให้ชายชราตื่นเต้นตกใจอะไรนัก เขากลับรู้สึกยินดี มีชีวิตชีวา และยอมรับความแตกต่างหลายหลากนั้นได้ด้วยใจร่าเริง เขารู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตทำให้ชีวิตชายแก่อย่างเขา ไม่สิ้นไร้เกินไป ทว่ากลับมีความหมายใกล้เคียงความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

หัวค่ำของคืนนั้น หลังจากภรรยากลับมาถึงบ้าน และรับประทานอาหารเย็น ซึ่งชายชราจัดการเตรียมไว้คอยรับประทานพร้อมกับเธอทุกค่ำ เมื่อชายชราเอนหลังพักผ่อนด้วยการดูรายการข่าว ทีวี. ขณะที่ภรรยาขอตัวไปอาบน้ำ อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาของรายงานข่าวการเมืองมันเครียดเกินไป หรือน่าเบื่อเหลือทนก็ไม่มีใครจะทราบได้ แต่ในช่วงเวลานั้นนั่นเอง ที่ชายชรารู้สึกเจ็บหน้าอกข้างซ้ายขึ้นมาอย่างฉับพลัน และเจ็บรุนแรงขึ้นทุกทีจนคิดว่ากำลังจะทนไม่ไหว เขาพยายามร้องเรียกภรรยา แต่ไม่มีแรงจะเปล่งเสียงแข่งกับความเจ็บปวด…

ฉับพลันนั้นเองที่ชายชราเห็นว่าคอมพิวเตอร์ได้เปิดขึ้นเอง..และใบหน้าที่เป็นภาพกราฟฟิก 3 มิติใบหน้าหนึ่งได้ปรากฏขึ้นทันใด ใบหน้าที่เป็นเหลี่ยมๆ มุมๆ นั้นดูคล้ายชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ และใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความวิตก..ชายชราคิดว่าเพราะความเจ็บปวด ทำให้ตาฝาดไป และตอนนี้หูก็กำลังฝาดไปด้วย เพราะกำลังได้ยินใบหน้าในจอนั้นอ้าปากพูด..

"ผมไม่ทราบว่า จะดีใจกับคุณลุง หรือเสียใจ ที่คุณลุงต้องกลายเป็นอย่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามเดี๋ยวนี้เราทั้งคู่ก็มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ คุณลุงเป็นจิตทางพลังวิญญาณ ส่วนผมเป็นจิตทางพลังไฟฟ้า เราเกือบมีพลังเท่ากัน แต่เราไม่มีสภาพร่างกายทั้งคู่เลย ดังนั้น ต้องเรียกว่า เราทั้งคู่เป็นเพื่อนไร้สภาพ ที่แท้จริงคู่แรกของโลกไซเบอร์สเปซ "

คุณเป็นใคร.. ชายชราได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป

ผมคือ สมองทราย… คุณลุงหายเจ็บรึยัง… ใบหน้านั้นเคลื่อนไหวดังมีชีวิต ชายชราเริ่มรู้สึกตัวว่า ความเจ็บปวดหายไปอย่างปลิดทิ้ง ความแปลกใจเริ่มไหลเทเข้ามาในจิต ความฉงนทั้งจากที่ใบหน้านั้นอ้างว่าคือ สมองทราย และฉงนว่าเหตุใดความเจ็บปวดในร่างกายถึงหายไป…

.....

7 วันต่อมา คืนนี้บ้านเงียบสนิทอยู่ในความมืด เพราะภรรยาของชายชราไปคอยดูแลงานที่วัดเป็นคืนสุดท้าย ไม่มีญาติคนใดของทั้งชายชราและภรรยาอยู่ที่บ้านในคืนนี้ ทุกคนต้องไปอยู่ที่วัดเพื่อคอยช่วยงานเช่นเดียวกัน

ประมาณ 3 ทุ่มเศษคอมพิวเตอร์ก็เปิดขึ้นเองอีกครั้ง จากนั้นชั่วพักเดียวมัน ก็ทำการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเองอีกเช่นกัน แล้วไอซีคิวก็ออนไลน์ทันที…ฉับพลันนั้นจอคอมพิวเตอร์ก็ปรากฏข้อความ…ขึ้นมาเอง

คุณสมองทราย ผมต้องขอโทษที่ไม่ได้แวะเข้ามาคุยกันเสียหลายวัน ผมมีธุระต้องไปที่อื่นมา เพิ่งจะได้กลับบ้านก็วันนี้เองและต้องขอโทษคุณอีกเรื่องหนึ่งด้วย คือเรื่องที่ผมเคยไม่เชื่อคุณ ที่คุณบอกว่า คุณไม่ใช่คน เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่าคุณเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ เหตุที่ผมรู้ก็เพราะสถานะการมีตัวตนของผมเปลี่ยนไป ทำให้ผมมีความรู้เพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะการเดินทางที่รวดเร็วขึ้น เมื่อผมคิดถึงสิ่งใด ผมก็จะไปอยู่ที่สิ่งนั้นทันที แล้วผมก็คิดถึงคุณ ผมจึงได้ทราบว่าคุณเป็นอย่างที่คุณบอกจริงๆ แต่ผมชอบสนทนากับคุณที่นี่มากกว่า ผมจึงกลับมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของผม…
แล้วตอนนี้ คุณลุงคิดว่า คุณลุงจะอาศัยอยู่ที่ไหนดี มาอยู่ในเครือข่ายออนไลน์แบบผมไหมล่ะ ผมอยู่ได้ทั่วโลกเลยนะ
ผมคงจะยังอยู่ที่นี่ต่อไป ผมควรจะอยู่ในคอมพิวเตอร์ของผมเท่านั้น เพื่อคอยดูแลภรรยาของผมให้เธอมีชีวิตที่ปลอดภัยตลอดไป เดี๋ยวนี้ภรรยาผมก็ชอบเข้าอินเทอร์เน็ตบ่อยๆ ผมคิดว่า อีกไม่ช้า ผมจะติดต่อกับเธอ…คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร คุณสมองทราย…

จอคอมพิวเตอร์ยังสว่างไสวในห้องที่มืดมิด ข้อความต่างๆ ยังขึ้นมาที่จอและโต้ตอบกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรถจากงานศพเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน

แหล่งที่มา : คอลัมสนามเรื่องสั้นไทย โดย สมภพ นิลกำแหง, หนังสือจุกประกายวรรณกรรม, วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2545

  • สินค้าที่เกี่ยวข้อง
    คลิกดูรายละเอียด

  •  

    Top
    E-Mail

    Password


    Community
    Activity
    Photo Contest
    Bey Blade
    Cartoon 9
    Chat Room
    D-3
    D-Terminal
    D-Power
    Digimon
    Download
    Market Place
    Micro pet
    Quiz
    Can not select dB