Home Shop Mag'z Member Basket Thai / English Site Map
Webboard Book Toy Music Movie
Book
  >  home >  book >  เรื่องสั้น > 
    ร้านโชว (ความ) ห่วย
ร้านโชว (ความ) ห่วย

ผมนั่งตรวจเอกสารใบสั่งจ้างในห้องทำงานชั้นสาม ของสตูดิโอถ่ายภาพวิวาห์แห่งหนึ่งย่านถนนรามคำแหง เสร็จแล้วผมพบว่าหลายรายการที่คั่งค้างอยู่ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่สามารถจะมารับงานได้ ทั้งๆ ที่งานหลายชิ้นเสร็จแล้ว เพียงแต่ยังขาดอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ บางอย่าง ที่จะต้องเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ จากนั้นก็ให้ลูกค้ามารับงานไปได้เลย และเงินสดร่วมแสนบาทจากลูกค้าที่มาใช้บริการถ่ายภาพ ก็จะแล่นเข้าสู่บัญชีร้านหรือสตูดิโอถ่ายภาพของผมอย่างน่าชื่นใจ

ผมตัดสินใจว่า ไม่ควรจะให้ลูกน้องไปซื้อ แต่ผมควรจะไปซื้อสิ่งของที่ยังขาดและจะต้องใช้กับงานต่างๆ ที่จำเป็นในร้านด้วยตนเอง เพราะพอดีผมมีธุรกิจที่จะต้องผ่านไปทำธุระอื่น ในเส้นทางอันเป็นย่านถนน ที่มีร้านขายอุปกรณ์ประเภทที่ผมกำลังต้องการซื้อตั้งอยู่

เมื่อหลายวันก่อนผมเคยเข้าไปในห้างใหญ่ ที่นายทุนเจ้าของห้างเป็นบริษัทข้ามชาติ ซึ่งมาตั้งห้างใหญ่ขายปลีก สาขาห้างอยู่ไม่ไกลจากร้านของผมมากนัก และผมได้เห็นพวกอุปกรณ์ต่างๆ ที่ผมจะต้องใช้ในร้านของผมหลายอย่างวางขายอยู่ แต่ผมดูๆ แล้วก็ไม่ซื้อ เหตุที่ผมไม่ซื้อของในห้างแต่อยากจะไปซื้อจากร้านค้าปลีกรายย่อย หรือร้านโชวห่วย ก็เพราะตระหนักดีว่า บัดนี้เงาปีกอันมืดทึบของห้างใหญ่ที่นายทุนเป็นคนต่างชาติ กำลังเข้ามาขยายเครือข่ายเข้าโอบคลุมไปทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แค่นั้นยังไม่พอ มันยังขยายวงกว้างออกไปกลืนกินเลือดเนื้อของชาวไทยที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าปลีกรายย่อยตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดหลายจังหวัด ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ คือคนไทยบางส่วน ซึ่งก่อนนั้นเคยเป็นลูกค้าเก่าดั้งเดิมของร้านอาแป๊ะอาโอปากซอย หรือร้านคนไทยในตลาดอำเภอ จังหวัด มาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่ายังหนุ่มยังสาว เปลี่ยนวิสัยทัศน์จูงลูกพาหลานไปซื้อของห้างใหญ่ ไปอุดหนุนนายทุนใหญ่บริษัทข้ามชาติ ตามห้างใหญ่เนื้อที่นับสิบนับร้อยไร่ ภายในมีแอร์เย็นฉ่ำ มีบันไดเลื่อน มีที่ให้จอดรถในชั้นใต้ดิน หรือบนฟ้าอย่างสะดวกสบาย และต่างมีความรู้สึกว่า การได้เข้าไปซื้อหาข้าวของในสถานที่อย่างนั้น อาจจะเป็นความโก้เก๋ทันสมัย

และนั่นคือปรากฏการณ์ที่เป็นผลให้คนไทยทุนน้อยหรือร้านโชวห่วย ต่างรอวันตายหายหดไปจากตลาดการค้าปลีกหรือร้านค้าของชำ อย่างไม่มีหนทางเลี่ยงหลบ...จนทำให้ร้านค้าปลีกที่ตั้งอยู่ตามหมู่บ้าน หัวถนน หรือ ซอย ตรอก ต่างทยอยปิดตัวเองไปเงียบๆ เพราะไม่สามารถจะแข่งขันกับบริษัททุนข้ามชาติได้ ขณะที่ร้านโชวห่วยบางร้านที่ยังเหลือ หรือยังคงปักหลักตั้งป้อมหยัดยืน ต่อสู้กับบริษัททุนข้ามชาติอยู่ ทว่าสถานการณ์ภายในก็เริ่มโยกคลอนโอนเอนลงไปเรื่อยๆ และผมเริ่มจับตามองบรรดาร้านคนไทยทุนน้อยเหล่านี้ ด้วยสายตาที่ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ในที่สุดพวกเขาก็คงจะอยู่กันไม่ได้ ผมจึงอยากจะไปอุดหนุนร้านค้าประเภทนี้ แทนที่จะนำเงินของผมไปพอกทับให้กับพวกนายทุนต่างชาติ ให้มันเข้ามายึดเนื้อเถือหนังของคนในประเทศของผมจนไม่เหลือร้านค้าของคนไทย (ถึงจะมีจีนอยู่บ้าง) อีกต่อไป

ผมจอดรถยนต์ไว้หน้าร้านขายของแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ แล้วผลักประตูก้าวเข้าไปในร้านด้วยความเร่งรีบ ดีหน่อยที่ร้านนี้ใหญ่และเป็นร้านติดเครื่องปรับอากาศ ความเย็นของอากาศภายในร้าน ช่วยให้ผมคลายความร้อนได้มากและใจเย็นขึ้น (ปกติผมค่อนข้างใจร้อน) พนักงานสาวสวยคนหนึ่งสืบเท้าเข้ามาหา ในมาดของเธอราวกับว่า เธอคือลูกสาวหรือเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้าน ขณะที่ผมยืนเงอะๆ งะๆ มองหาสิ่งที่ต้องการซื้อ เพราะผมยังไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่ผมจะซื้อไปนั้นภาษาที่ใช้เรียกสิ่งของที่ผมต้องการจะใช้ในร้าน มันเรียกกันว่าอะไร และผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดว่าอย่างไร อ้อ ขอขยายความนิดหนึ่งว่า ผมยังมือใหม่ในด้านธุรกิจร้านถ่ายภาพแต่งงาน ฉะนั้น วิธีเดียวที่จะซื้อของได้ ผมต้องส่ายสายตาหาตัวสินค้าให้เจอก่อน

"ซื้ออะไร" พนักงานสาวถามด้วยเสียงกระชากๆ และสายตาเธอที่จ้องมายังผม ทำให้ผมรู้สึกลังเลกับความคิดที่อยากจะอุดหนุนร้านค้าคนไทย และที่ทำให้ผมงุนงงคือน้ำเสียงกระด้างของเธอ...

"ซื้อ อา...เอ่อ..." ผมกวาดสายตาหาของที่ผมจะซื้อ แต่ยังไม่เห็นจึงไม่รู้จะบอกชื่อสินค้าอย่างไร!

"เอา..." ผมชี้ไปยังชั้นวางของที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโล่งใจ เพราะผมเห็นเจ้าตัวสินค้าที่ผมต้องการแล้ว จนความอึดอัดที่เกาะกุมใจอยู่เริ่มกะเทาะหลุดออกไป ทว่า...

"เอาอะไรนะ?" เสียงที่ห้วนของเธอยังคล้ายตะคอกมา มันกลับทำให้ผมชะงักงัน ผมว่าผมชี้มือไปที่สินค้าตัวนั้นแล้ว แต่ทำไมเธอจึงยังถามอีก

"อ๋อ...เขาเรียกว่าหางปลานะ" เธอหมายถึง ห่วงอะลูมิเนียมเล็กๆ ที่ใช้ยึดกรอบรูป

"ครับ เอาไอ้นั่นแหละ" ผมรับทราบด้วยน้ำเสียงราวกับจำเลย ที่ยอมศิโรราบต่อหลักฐานพยานที่ทนายฝ่ายโจทย์นำมาแสดงต่อหน้าผู้พิพากษา "เอาเท่าไร?" เธอรุกเร้าผมอีกราวกับรีบเร่งเสียเต็มประดา

"ห่อ เท่าไหร่ครับ?" ผมถามและยังคงอ่อนน้อมถ่อยกายเหมือนเดิม

"เก้าสิบบาท" เธอบอกราคาเสร็จเธอหันหลังกลับไปเพื่อจะหยิบของจากชั้น เธอรื้อๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วหันมาบอกว่า "ห่อเล็กหมด มีแต่ห่อใหญ่ราคาสี่ร้อยจะเอาไหม?"

ผมครุ่นคิดอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วบอกเธอกลับไปว่า

"ผมยังไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้เยอะขนาดนั้นหรอกครับ ผมขอแบ่งซื้อได้ไหม?"

เธอบอกว่า "ได้" แล้วก็จัดแจงแบ่งหางปลาขายให้ตามที่ผมต้องการ จากนั้นผมสั่งซื้อ "ขอลูกกลิ้งยางอีกหนึ่งอัน ครับ"

"จะเอาขนาดไหน ใหญ่สามร้อยห้าสิบ กลางสองร้อยห้าสิบ เล็กร้อยเดียว"

สุ้มเสียงที่เสนอขายยังเป็นมะนาวขาดน้ำอยู่อีกเช่นเคย อาจจะเป็นเพราะว่าของที่ผมสั่งซื้อมันมีราคากระจ่อยร่อยน้อยไป? ไม่คุ้มกับค่าเสียเวลาของเธอที่มาต้อนรับ

"เอาอันใหญ่ครับ" ผมบอกพยายามพูดให้สุภาพยิ่งขึ้น และต้องการซื้อของให้เสร็จๆ เพื่อจะได้พ้นจากบรรยากาศการซื้อขาย ที่ไม่ค่อยจะรื่นรมย์และอึดอัดนี้เสียที

หรือว่าเธออาจจะมีปัญหาด้านการงาน เช่น เงินเดือนน้อย...หรือมีปัญหาทางครอบครัว อารมณ์บูดเน่าเลยติดพันมาสาดใส่ลูกค้า ที่ประสบการณ์ยังน้อยอย่างผม

ผมจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ด้วยความสงสัยในวิธีให้บริการที่ไม่มีระดับและไม่มีความประทับใจ แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้สึกตัวต่อสายตาตำหนิของผม และภาพการบริการและการต้อนรับของเธอ ทำให้ผมนึกไปถึง อาแป๊ะเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมืองที่ผมไปซื้อบ้านอยู่...

ผมสนิดชิดเชื้อกับอาแป๊ะเจ้าของร้านขายของชำมาหลายปี ผมเคยถามแกว่า คิดอย่างไรกับห้างใหญ่ที่เข้ามามากมายในขณะนี้ แกตอบในทำนองว่า ลมหายใจที่รวยรินของร้านขายของชำ กำลังจะถึงเฮือกสุดท้าย ผมยังแปลกใจว่าคนแก่อายุปูนนั้น ไม่น่าจะมีคำตอบที่เฉียบแหลมได้ขนาดนั้น หรือแกอาจจะจำมาจากหนังสือพิมพ์ หรือทีวี ฯลฯ แต่ช่างเถอะ...คำพวกนี้มีคนใช้เกลื่อนไปหมด

อาแป๊ะเป็นคนที่พูดจาไม่ไพเราะ เพราะแกขายอยู่แบบนี้มานาน ใครๆ ก็ยังไปซื้อของของแก ผมเคยนึกในใจว่า ถ้าแกจะปรับปรุงภาษาที่ใช้ต้อนรับลูกค้าเสียใหม่บ้าง ไม่ต้องถึงขั้นไพเราะเสนาะหูจนดูเป็นเสแสร้ง แค่ให้ฟังดูสุภาพขึ้นหน่อย อย่าให้เหมือนกับว่าลูกค้าไปอ้อนวอนงอนง้อขอซื้อสินค้าจากแก เพราะร้านแกมีอยู่ร้านเดียวในโลก ผมว่าแค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว...

หลายครั้งผมได้แต่ประหลาดใจว่า ลูกค้าแต่ละคนที่มาซื้อของที่ร้านแก ทนกับพฤติกรรมของแกได้อย่างไร หรือเขาอาจไม่มีทางเลือก เพราะร้านแกมีอยู่ร้านเดียวในย่านนั้น และผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่โชคร้ายโดนเลขท้ายอารมณ์บูดของแก ฟาดใส่อยู่เป็นครั้งคราว

บางครั้งแกไม่ชอบให้ใครมารื้อมาค้นของในร้าน หรือซื้อของออกจากร้านแล้วนำมาเปลี่ยน หากใครทำเช่นนั้น อารมณ์ของแกก็จะเดือดพล่านทันที

นอกจากนิสัยของอาแป๊ะเจ้าของร้าน ไม่ชวนให้เข้าไปแวะเวียนแล้ว บรรยากาศในร้านก็ไม่ชวนให้น่าพิสมัยเอาเสียเลย อากาศในร้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นแก๊ส กลิ่นอับ เหมือนมีของเน่าเสียเพราะแกขายทุกอย่าง ทั้งของสดของแห้ง อาหารและเครื่องสำอาง แม้กระทั่งยา อากาศจึงเสีย ยิ่งวันไหนบวกด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านของอาแป๊ะเข้าด้วย ร้านของแกราวบรรจุไว้ด้วยก๊าซมีเทนทีเดียว

ของที่แกวางไว้อย่างระเกะระกะไร้ระเบียบ ยิ่งทำให้ลูกค้าปวดเศียรเวียนหัวในการเลือกซื้อ ทว่าสำหรับแกหาได้เป็นอุปสรรค แกรู้หมดว่าของอะไรตั้งวางอยู่ตรงไหน พอใครมาถาม แกสามารถหยิบจับฉวยมาได้อย่างว่องไวทุกคราว

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า...แกจะรู้บ้างไหมหนอว่า บรรยากาศการต้อนรับลูกค้าในร้านขายของชำของแก มันแตกต่างกับในห้างใหญ่เหมือนส้นเท้าแกกับผิวแก้มของพนักงานสาวๆ ในห้าง หรือว่าแกคงรู้...เพราะของบางอย่างที่แกนำมาขาย แกก็ไปซื้อมาจากห้างพวกนั้นเช่นกัน...

"เอาอะไรอีกไหม? เสียงเธอคนเดิมกระชากความรู้สึกของผมให้กลับมาอีกครั้ง

"อะไรนะครับ" ผมย้อนถามเพราะได้ยินไม่ถนัดหู เพราะใจไพล่ไปนึกถึงอาแป๊ะขายของชำหน้าหมู่บ้านจัดสรรของผมอยู่

"ฉันถามว่าจะเอาอะไรอีกไหม เห็นนิ่งเงียบไปนาน" เสียงของเธอค่อนข้างดังกว่าปกติ

"เอานอตด้วย" ผมตอบ

"สั้นหรือยาว"

ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เธอคงไม่อยากให้บริการแน่ ผมเหลือบดูนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝา นี่เวลาล่วงเลยมาบ่ายสองโมงแล้ว ถ้าเธอหงุดหงิดเพราะหิวข้าว ก็คงไม่ใช่ เพราะมันผ่านเวลาอาหารมื้อเที่ยงมานานโข แต่ช่างเถอะ จะอย่างไรก็ตาม ผมจะรีบซื้อของ แล้วรีบไปธุระที่อื่นต่อ

"สั้น ครับ เอา 2 ถุง" ผมบอกตามขนาดและจำนวนตามที่เห็นวางบนชั้น

"คุณเอาสองถุงราคาห้าสิบบาท ซื้อเป็นกล่องไม่ดีเหรอ ประหยัดกว่ากันเยอะ" ในความแล้งร้อนของอารมณ์ ผมยังพอมีหวังที่เห็นหยดน้ำใจเล็กๆ เกาะอยู่ในน้ำเสียง ผมใจชื้นขึ้นบ้าง

"เอ้อดีครับ ขอดูของหน่อยนะครับ"

"จะดูไปทำไม? มันก็เหมือนกับที่แยกขายเป็นถุงเล็กๆ นั่นแหละ" หยดน้ำเล็กๆ ที่ผมเพิ่งได้มานิดหนึ่งพลันเหือดหายไปในพริบตา

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมอยากดูให้แน่ใจว่า ซื้อไปแล้วไม่ผิดขนาด"

ผมบอกเธอไปตามที่คิด เพราะหลายครั้งที่ซื้อของไป ไม่ว่าจะจากแหล่งไหนก็ตาม แม้พนักงานยืนยันว่าเป็นสินค้าที่ผมต้องการ แต่พอไปถึงร้านผมเคยพบว่ามันไม่ใช่ หลายครั้งที่ผมต้องเอามาเปลี่ยนหรือคืน ผมจึงต้องขอดูก่อนเพื่อความรอบคอบ ไม่เช่นนั้นแล้ว เกิดเป็นสินค้าที่ไม่เหมือน หรือมีตำหนิ ผมคร้านที่จะกลับมาเปลี่ยนอีกรอบ

"แกะดู แล้วจะซื้อไหม?" เธอยิ่งดุมากขึ้นกว่าเดิม น้ำเสียงของเธอทำให้ผมเริ่มขุ่นเคืองในอารมณ์ ผมจึงตอบโต้เธอกลับไปว่า

"ถ้าไม่ซื้อ ผมไม่แกะดูหรอก แค่เปิดฝากล่องกระดาษเท่านั้น ไม่เห็นทำให้ของเสียหายตรงไหน" เสียงผมดังขึ้นบ้าง "ผมว่าจะไม่พูดแล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน คุณก็ไม่ค่อยต้อนรับ พูดจาก็ไม่ดี ไม่มีพนักงานคนไหนหรอกที่จะยอกย้อนลูกค้า แต่ผมก็ยังทนได้..."

ผมเริ่มร่ายยาว (เป็นทีของผมบ้าง) แต่เธอเงียบ

"คุณเห็นผมเฉย คุณก็เอาใหญ่ ผมมาซื้อของนะครับ ไม่ใช่มาขอของฟรี ผมอยากบอกว่า ร้านอย่างคุณมีเยอะ ผมไปหาซื้อของที่ไหนก็ได้ไม่แตกต่างกันหรอก มันจะต่างกันก็ตรงที่การบริการ คุณทำได้ไหม พูดจาอะไรให้มันดีกว่านี้?"

เธอก้มหน้านิ่ง พลางจัดของที่ผมสั่งซื้อให้เรียบร้อย...

ขณะนั้นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินผ่านออกไปนอกร้าน หล่อนยิ้มให้ผมเล็กน้อย ผมไม่แน่ใจว่าหล่อนจะเป็นลูกค้าเหมือนผม แต่มองจากรูปพรรณภายนอกแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นเถ้าแก่เนี้ย แต่หล่อนจะเป็นอะไร ไม่สำคัญเพราะผมเห็นหล่อนเดินออกจากร้านไป โดยไม่สนใจต่อท่าทางของผมที่เหลืออดเหลือทน ผมหันกลับมามองพนักงานขายคนเดิม เธอหุบปาก แต่ท่าทีของเธอเหมือนทองไม่รู้ร้อนมากกว่าจะยอมรับ ผมเสียความรู้สึกอย่างมากกับอากัปกิริยาของเธอที่แสดงต่อลูกค้า ผมอยากบอกเธอ...ถ้าเธอเป็นพนักงานในร้านของผม ผมต้องจัดคอร์สอบรมกันขนานใหญ่ แล้วยัดเธอลงในคอร์สนั้นด้วย มิฉะนั้นแล้ว ลูกค้าที่ไหนเล่าจะมาซื้อของ

"คุณเป็นพนักงานขายหรือเปล่า?" เสียงของผมห้วนแสดงถึงอารมณ์ที่ยังไม่หายขุ่นเคือง ที่ผมถามไปเช่นนั้นเพราะผมไม่แน่ใจตำแหน่งของเธอ

"ไม่ใช่" น้ำเสียงที่ตอบ แม้แห้งแล้ง แต่เธอก็ลดระดับโทนเสียงลงมาบ้าง

"เป็นเจ้าของร้านงั้นหรือ?" ผมรุกด้วยความอยากรู้ในฐานะของเธอจริงๆ เพราะมีหลายร้านพนักงานสาว (บางคน) ขยับฐานะตัวเองจากพนักงานขายธรรมดา มาเป็นรองเถ้าแก่เนี้ย (เมียน้อยแถมลับๆ)

"ไม่ใช่" คำตอบเหมือนเดิม แต่สร้างความงุนงงแก่สมองของผมมากขึ้น แล้วเธอเป็นอะไร? ในร้านนี้ แต่จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ลงว่าผมร้อนขึ้นมาแล้วยากที่จะยอมหยุดง่ายๆ

"ตกลงคุณเป็นอะไรแน่! คุณกล้าที่จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวกับลูกค้า แต่ทำไมคุณไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับผม"

คราวนี้เธอนิ่งเงียบ จนผมเองไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ผมจึงหยุดและเธอคงเห็นว่าผมไม่เอ่ยพูดอะไรต่อ เธอจึงส่งสินค้ามาให้ผม แล้วบอกให้ไปจ่ายเงินที่อีกด้านหนึ่ง

ขณะที่ผมหิ้วของเพื่อไปจ่ายเงิน...ภาพสินค้าที่ผมเห็นวางขายในห้างใหญ่เข้ามาในความรู้สึกสลับกับภาพเหตุการณ์ในร้านที่ผ่านไปหมาดๆ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมผิดหวังในด้านบริการของร้านที่คนไทยเป็นเจ้าของ และเป็นหนึ่งในร้านที่แหกปากร้องขอความเป็นธรรมจากสังคมและรัฐบาลในเรื่องการรุกรานของทุนข้ามชาติ ร้านพวกนี้เรียกร้องขอความเห็นใจจากคนไทยให้ช่วยเหลือพวกเขา ก่อนจะไม่เหลือร้านค้าปลีกของคนไทยอีกในอนาคตอันใกล้

เมื่อก่อนผมเห็นด้วยกับความคิด ที่อยากต่อต้านห้างใหญ่นายทุนต่างชาติ แต่...มาบัดนี้ เดี๋ยวนี้ ผมชักจะลังเล ทว่าฉับพลัน ความคิดหนึ่งก็วูบขึ้นมา...

โธ่! ผมจะหวังอะไรให้มากไปกว่าที่ได้รับอยู่นี้เล่า ในเมื่อร้านพวกนี้ก็มีชื่อเรียกอยู่แล้วว่า..."ร้านโชวห่วย"

ผมปล่อยให้ความคิดเลื่อนไหลไปครู่ใหญ่ ก่อนปลอบใจตัวเอง...เอาเถอะ! คิดเสียว่าครั้งนี้มันเป็นฝันร้าย และยังคิดอุดหนุนคนไทยด้วยกัน เพราะยังเชื่อมั่นว่ามีอีกหลายร้านคงให้บริการไม่เหมือนที่นี่

พอคิดได้แบบนี้ ผมยิ้มกับตัวเองแล้วเดินออกจากร้านไปด้วยความรู้สึกโล่งในอารมณ์...

แหล่งที่มา : คอลัมเรื่องสั้นไทย โดยฉมังฉาย..., จุดประกายวรรณกรรม, กรุงเทพธุรกิจ, วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2545

  • สินค้าที่เกี่ยวข้อง
    คลิกดูรายละเอียด

  •  

    Top
    E-Mail

    Password


    Community
    Activity
    Photo Contest
    Bey Blade
    Cartoon 9
    Chat Room
    D-3
    D-Terminal
    D-Power
    Digimon
    Download
    Market Place
    Micro pet
    Quiz
    Can not select dB