F4 : จำเลยทางวัฒนธรรม ประเสริฐ บรรพตศรี ภาพจาก : http://www.www2.thaitv3.com
ความจริงที่เห็นๆ กันอยู่ ทำให้คำพูดที่ว่า 'วัฒนธรรมอันดีงามของไทย' เป็นเพียงถ้อยคำหรูๆ ที่ลอยอยู่บนฟ้าหาที่มาที่ไปไม่ได้ เป็นชุดคำพูดที่พูดง่ายใช้คล่องแต่เข้าใจยากที่สุด พลอยทำให้การค้นหา 'วัฒนธรรมที่แท้' ของไทยเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะถ้าพูดคำนี้ขึ้นมาเมื่อใด นั่นก็หมายถึงว่ากำลังมีการทำสงครามระหว่างชนชาติ โดยใช้คำว่า 'วัฒนธรรม' ที่คิด (ขึ้นมา) ว่าดีกว่า งดงามกว่า ยิ่งใหญ่กว่า มาเป็นอาวุธประหัตประหาร
เนื้อเรื่อง จะว่าฮือฮาก็ไม่เชิง เมื่อกระทรวงวัฒนธรรมออกมาบอกว่า ละครโทรทัศน์สัญชาติไต้หวัน รักใสๆ หัวใจ 4 ดวง หรือ F4 ที่กำลังอินเทรนด์-ฮิตในหมู่วัยรุ่นอยู่ในขณะนี้ มีเนื้อหาที่ขัดต่อวัฒนธรรมอันดีงามของไทย โดยเฉพาะผู้หญิงไทย เพราะตัวละครหญิงในเรื่องมีพฤติกรรมที่ 'ไม่รักนวลสงวนตัว' พูดง่ายๆ คือเป็นฝ่ายเสนอตัวให้ผู้ชาย 'ฟัน' ว่างั้นเถอะ
ที่ว่าไม่ฮือฮาก็เพราะไม่เห็นมีใครกินไม่ได้นอนไม่หลับกับเรื่องนี้ นอกเสียจากคอลัมนิสต์เจ้าเก่ารายเดิมของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ที่ขวางหูขวางตากับรายการบันเทิงที่ไม่เน้นความเป็นไทย (เดิม) อยู่แล้ว
เข้าใจว่าที่ถ้อยแถลงของกระทรวงวัฒนธรรมไม่ค่อยได้รับการตอบสนอง ก็เพราะ หนึ่ง : คนดูเขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ เพราะรู้อยู่แล้วว่านี่คือละคร สอง : ไม่มีความเห็น เพราะไม่ได้ดู อย่าลืมว่าคนไทยทั้งประเทศ 60 ล้านคนไม่ได้เป็นวัยรุ่นไปเสียหมด ทาร์เก็ตกรุ๊ปของ F4 มุ่งไปที่กลุ่มวัยรุ่น ซึ่งก็ไม่ใช่คนดูละครทีวีส่วนใหญ่ หรือ สาม : เป็นข้อด้อยของทางกระทรวงวัฒนธรรมเอง ซึ่งอาจเกิดจากเป็นกระทรวงตั้งใหม่ คนไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ไม่รู้ว่ามีหน้าที่อะไรกันแน่ หรืออาจเป็นเพราะการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารกระทรวงเท่าที่ผ่านๆ มาไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากความคิดจะรื้อฟื้นละครเพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรวาทการขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าไอเดียต่อไปอาจจะชักชวนให้คนไทยกลับไปสวมมาลานำไทย (รักไทย) ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง (ประยุกต์จากเดิมนิดหน่อย)
กระทรวงวัฒนธรรมจะมีหน้าที่หลักอะไรยังไม่สำคัญเท่ากับว่า 'วัฒนธรรมอันดีงามของไทย' คืออะไร ?
พูดกันมานานแล้ว แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน ถ้าไปถามบุคคลหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็อาจจะได้คำตอบประมาณว่า วัฒนธรรมอันดีงามของไทยคือเป็นคนยิ้มง่าย ให้ความเคารพผู้อาวุโส มีศิลปะการแสดงที่อ่อนช้อยงดงาม ไม่เปิดเผยเรื่องทางเพศต่อสาธารณะ ฯลฯ
แต่หากวิเคราะห์กันจริงๆ สิ่งที่ว่ามาเหล่านี้ น่าจะเรียกว่า 'เอกลักษณ์' มากกว่า คือผู้พูดพยายามจะแปรความหมายของคำว่า 'เอกลักษณ์' ให้กลายเป็น 'วัฒนธรรม' เพื่อจะได้เติมคำว่า 'อันดีงาม' ต่อท้ายลงไป กลายเป็นนิยามความหมายของ 'ความเป็นไทย' ในรูปลักษณ์อันสูงส่ง
ลองจับประเด็นเหล่านี้มาตั้งตรรกะเชิงแย้งเล่นๆ ดูก่อนเป็นไร เช่น ผมอยากรู้ว่าประเทศที่ประชากรยิ้มง่าย กับประเทศที่ประชากรยิ้มยาก คุณภาพความเป็นคนมันต่างกันตรงไหน หรือการเคารพในอาวุโส มันดีกว่าเคารพในความสามารถอย่างไร
แค่นี้ก็ตอบยากแล้ว เพราะมันเป็นแค่ 'เอกลักษณ์' ที่แตกต่าง
แล้วที่สำคัญ สิ่งที่ว่ามานั้น มันคือ 'เอกลักษณ์ของความเป็น (คน) ไทย' จริงหรือ ?
คนไทยเป็นคนยิ้มง่าย ใจเย็น จิตใจงดงาม แต่ฆ่ากันตายเป็นเบือ ทั้งแบบสามัญและวิสามัญ
คนไทยไม่นิยมการแสดงออกทางเพศ แต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังแทบทุกชิ้นกลับมีภาพเชิงสังวาสสอดแทรกอยู่ หรือคำร้องในเพลงพื้นบ้านไทยแทบทุกประเภทก็มีคำสองแง่สองง่าม หรือกระทั่งง่ามเดียวว่าตรงๆ ก็มีให้เห็น
จากความจริงที่เห็นๆ กันอยู่ ทำให้คำพูดที่ว่า 'วัฒนธรรมอันดีงามของไทย' เป็นเพียงถ้อยคำหรูๆ ที่ลอยอยู่บนฟ้าหาที่มาที่ไปไม่ได้ เป็นชุดคำพูดที่พูดง่ายใช้คล่องแต่เข้าใจยากที่สุด พลอยทำให้การค้นหา 'วัฒนธรรมที่แท้' ของไทยเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะถ้าพูดคำนี้ขึ้นมาเมื่อใด นั่นก็หมายถึงว่ากำลังมีการทำสงครามระหว่างชนชาติ โดยใช้คำว่า 'วัฒนธรรม' ที่คิด (ขึ้นมา) ว่าดีกว่า งดงามกว่า ยิ่งใหญ่กว่า มาเป็นอาวุธประหัตประหาร
ตัวอย่างเช่น : รำไทย ดนตรีไทย สำเนียงไพเราะเสนาะหู ท่วงท่างดงามอ่อนช้อย = ดี การร้องรำทำเพลงของชาวตะวันตก เสียงดังเอะอะน่ารำคาญ ไม่อ่อนช้อยงดงาม = ไม่ดีเท่าของไทย
คนไทยจึงไม่ควรรับศิลปะการร้องรำทำเพลงของชาวตะวันตก เพราะของไทยเราที่มีอยู่ก็ดีกว่าอยู่แล้ว
การสร้างชุดคำพูดในเชิง 'เปรียบเทียบ' เช่นนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ต้องการจะเปรียบเทียบเพื่อแยกแยะอย่างจริงจัง เป็นเพียงการหาตุ๊กตาตัวหนึ่งมาสร้างความชอบธรรมรองรับวาทกรรมที่ตนเองสร้างขึ้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น
ครับ ... โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ ไม่คำนึงว่า การประณามตัวแสดงหญิงในละครไต้หวัน F4 ว่ามีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ ไม่รักนวลสงวนตัวเหมือนหญิงไทย ก็คือการประณามว่าคนไต้หวันมีวัฒนธรรมที่ต่ำทรามกว่าคนไทย เหมือนเช่นที่คนฝรั่งมังค่าได้รับการใบประกาศเกียรติโทษจากพี่ไทยอยู่เนืองๆ ในเรื่องนี้
มีอีกตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ ก็เรื่องเหตุการณ์นางแบบ 'นมหก' บนเวทีแคทวอล์คที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี่ไงครับ ได้ฟังทัศนะของคนบางคนแล้วรู้สึกขำกึ่งสมเพช เพราะพูดออกมาว่า ถ้าเป็นนางแบบฝรั่งก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เกิดขึ้นกับนางแบบไทย รู้สึกอายเหมือนกัน
อะไรจะปานนั้น ... ขนาดนมไทยก็ยัง 'ดีงาม' กว่านมฝรั่ง
นี่อาจเป็น 'วัฒนธรรม' ที่พวกเราชาวไทยกำลังค้นหากันอยู่ก็ได้นะครับ นั่นคือวิธีจัดการกับปัญหาของตัวเองด้วยการโยนความผิดไปให้ผู้อื่น หรือถ้าพูดให้สุภาพก็ต้องบอกว่าเป็น 'วัฒนธรรมของการป้ายขี้' ทำให้คนอื่นเลว ตัวเองจะได้ดี
ถ้าเราค้นหาตัวเองเจอและยอมรับกันได้เช่นนี้ บางทีชาติไทยเราก็อาจเป็นชาติมหาอำนาจเหมือนกับสหรัฐอเมริกาได้ไม่ยาก เพราะขานั้นก็กำลังสร้างสงคราม (ฝ่ายเดียว) กับอิรัก ตุ๊กตาที่ถูกเลือกมาใช้งาน โดยอาศัยวาทกรรม "ประธานาธิบดีของอิรักเป็นภัยคุกคามชาวอเมริกัน" มากลบเกลื่อนข้อเท็จจริงที่ว่า ประธานาธิบดีของอเมริกาต่างหากที่เป็นภัยคุกคามชาวอเมริกัน เพราะไม่มีความสามารถในเชิงบริหารและแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้
วัฒนธรรมของการป้ายขี้กำลังอินเทรนด์ มาแรง โปรดระวังเงินในกระเป๋าเอาไว้ให้ดี
แหล่งที่มา : ประเสริฐ บรรพตศรี, คอลัมวิจารณ์บันเทิง เสาร์สวัสดี หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับที่ 200 วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2546
|